ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ที่ประชุม ครม. เคาะ! หลักการ กม. ครอบครองยาเสพติด ตามที่ สธ. เสนอ โดยกำหนดให้ผู้ที่ครอบครองไม่เกิน 5 หน่วย หรือไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้เสพ-ให้สมัครใจเข้าสู่กระบวนการรักษา


ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2566 มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นผู้เสนอ โดยจากนี้ให้ส่งไปที่สำนักงานคณะกรรมการตรวจพิจารณาต่อไป 

สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงที่ สธ. เสนอซึ่งออกตามความในมาตรา 107 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติดนั้น เป็นการกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ประเภท 2 หรือประเภท 5 และวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ โดยเฉพาะยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 อาทิ แอมเฟตามีน (ยาบ้า) ที่กำหนดปริมาณไม่เกิน 5 หน่วยการใช้หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 500 มิลลิกรัม

ทั้งนี้ ข้อสันนิษฐานดังกล่าวจะเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ในการพิจารณาว่าผู้ที่ครอบครองยาเสพติดผู้ใดเป็นเพียงผู้เสพ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ครอบครองยาเสพติดในปริมาณเล็กน้อยสามารถสมัครใจเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดได้โดยหากบุคคลดังกล่าวได้รับการบำบัดรักษาจนหายจากการติดยาเสพติดแล้วผู้นั้นก็จะไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองตามประมวลกฎหมายยาเสพติด 

สอดคล้องกับคำแถลงนโยบายของ ครม. ที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 ในด้านความปลอดภัยที่รัฐบาลจะทำงานร่วมกับประชาชนทุกภาคส่วนเพื่อดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึดหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” สนับสนุนให้ผู้เสพเข้ารับการรักษาบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง รวมทั้งเป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 7 พ.ย/ 2566 ที่ให้ สธ. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำกฎหมายว่าด้วยการกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษ (ยาบ้า) และที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จและเสนอ ครม. โดยด่วน

ในส่วนร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้เป็นการออกกฎหมายลำดับรองซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายยาเสพติดที่มีผลใช้บังคับ (เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2564) ภายหลังพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 ธ.ค. 2566 ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 

อย่างไรก็ตาม สธ. ได้เสนอขอขยายระยะเวลาการดำเนินการออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2566 ซึ่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองซึ่งออกตามความในประมวลกฎหมายยาเสพติดตามที่ สธ. เสนอ