มีความเป็นไปได้สูงที่ ‘ผู้ป่วยจิตเวช’ ในประเทศไทยจำนวนมาก จะเข้าไม่ถึงบริการการรักษา
ไม่ใช่เพราะไม่มีสิทธิ แต่เป็นเพราะ “ไม่มีหมอ”
สถานการณ์กำลังคนด้านสุขภาพ โดยเฉพาะ ‘จิตแพทย์’ กำลังเปราะบาง แนวโน้มความต้องการ (เคส) เพิ่มสูงขึ้นสวนทางจำนวนบุคลากรที่ให้บริการ
โรคจิตเวช หรือ กลุ่มอาการทางจิตใจที่เกิดจากความผิดปกติของสมองที่ทำหน้าที่ควบคุมความคิด อารมณ์ ตลอดจนพฤติกรรมของคนเรา ซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน โดยมีต้นเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การใช้สารเสพติด กรรมพันธุ์ ความเครียดจากการเรียนและการทำงาน ความเจ็บปวดที่ได้รับในวัยเด็ก
ความป่วยไข้ทางจิตใจไม่มีร่องรอยให้เห็นได้ชัดเหมือนความเจ็บป่วยทางกาย รวมถึงไม่สามารถปล่อยไว้ให้หายเองได้เหมือนเป็นไข้ ซึ่งถ้าสะสมเป็นเวลานานและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีผู้ป่วยจิตเวชบางกลุ่มอาการอาจเลือกที่จะจบชีวิตลง เพราะคิดว่านั่นเป็นทางออก
สำหรับจำนวนผู้ป่วยจิตเวชในประเทศไทย ข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า ในปี 2565 มีผู้ป่วยจิตเวชมารับบริการมากถึง 2,519,255 คน
นอกจากนี้ ด้วยประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ พ.ศ. 2564 ที่มีแนวทางให้ ‘ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย’ ซึ่งต้องได้รับการบำบัดรักษาทางจิตเวช ทำให้คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1.9 ล้านคน
นั่นทำให้ไทยอาจมีผู้ป่วยจิตเวชมากถึง 4.4 ล้านคน และจะมากขึ้นอีกก็เป็นได้ เพราะในจำนวนนี้ยังไม่นับรวมผู้ป่วยจิตเวชรายใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นทุกปีด้วย เห็นได้จากตัวเลขในช่วงที่ผ่านมา ไทยมีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคน เป็น 2.3 ล้านคน ในระยะเวลา 6 ปี (2558-2564)
ขณะที่ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ปี 2564 รายงานว่า ไทยมีจิตแพทย์เพียง 845 คน ซึ่งเมื่อคิดเปรียบเทียบสัดส่วนกับจำนวนผู้ป่วยจิตเวชแล้ว เท่ากับว่าจิตแพทย์ 1 คนอาจต้องรักษาผู้ป่วยจิตเวชมากถึง 5,207 คน เหล่านี้เองที่อาจทำให้ผู้ป่วยจิตเวชจำนวนมากไม่ได้รับการรักษา
กระทั่งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเป็นจังหวัดที่มี “จิตแพทย์มากที่สุด” ในไทย โดยมีจิตแพทย์ทั้งหมด 271 คน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนจิตแพทย์ทั้งประเทศ และจากข้อมูลของ Rocket Media Lab ระบุว่า ในปี 2564 กทม. มีผู้ป่วยจิตเวชจำนวน 157,200 คน จึงคิดเป็นสัดส่วน คือ จิตแพทย์ 1 คนต่อผู้ป่วยจิตเวช 580 คน ถึงอย่างนั้นถ้าผู้ป่วยจิตเวชต้องการรักษาก็อาจต้องรอนานหลายเดือน
เพื่อฉายภาพสถานการณ์จริง “The Coverage” ได้สอบถามข้อมูลไปยังโรงพยาบาลจำนวน 5 แห่ง ที่ให้การรักษาด้านจิตเวชใน กทม. และปริมณฑล ถึง ‘การรอคิว’ ในการเข้ารับบริการ โดยได้รายละเอียดดังนี้
1. โรงพยาบาลรามาธิบดี
- คลินิกในเวลา : ขณะนี้ปิดรับการนัดหมายชั่วคราว เนื่องจากมีคิวนัดหมายไปถึงเดือน ธ.ค. 2566
- คลินิกนอกเวลา : ยังเปิดรับการนัดหมายอยู่ โดยมีคิวไปถึงเดือน พ.ค. 2566
2. โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
- คลินิกในเวลา : รับเฉพาะวอล์กอินเท่านั้น จำกัดอยู่ที่ 3 รายต่อวัน ซึ่งผู้ป่วยรายใหม่หากจะรับบริการสามารถเข้ารับได้ที่คลินิกพิเศษเท่านั้น
- คลินิกพิเศษ : ไม่สามารถติดต่อได้
3. โรงพยาบาลศิริราช
- คลินิกในเวลา : ขณะนี้มีคิวไปถึงเดือน พ.ค. 2566
- คลินิกนอกเวลา : ไม่สามารถติดต่อได้
4. คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล
- คลินิกในเวลา : ขณะนี้มีคิวนัดไปถึงเดือน ธ.ค. 2566
- คลินิกรุ่งอรุณ (นอกเวลา) จะเปิดให้บริการช่วง 06.00-08.00 น. มีคิวไปถึงเดือน เม.ย. 2566
- คลินิกพิเศษ เปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์ มีคิวไปถึงเดือน เม.ย. 2566 เช่นกัน
5. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ ถ้าจะรับบริการต้องวอล์กอินเพื่อเข้ารับการตรวจคัดกรองก่อนถึงจะสามารถนัดหมายคิวการรักษาได้
- คลินิกในเวลา / นอกเวลา มีคิวไปถึงเดือน ต.ค. 2567
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกก็คือ บางจังหวัดที่มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชสูง แต่มีจำนวนจิตแพทย์น้อย ตัวอย่างเช่น จ.เชียงใหม่ ที่ในปี 2564 มีผู้ป่วยจิตเวชมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ โดยมีจำนวน 186,110 ราย และมีจิตแพทย์เพียง 56 คน และรองลงมาอย่าง จ.นครราชสีมา ที่มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวช 186,017 คน แต่มีจิตแพทย์เพียง 23 คน
จังหวัด |
ผู้ป่วยจิตเวช |
จิตแพทย์ |
กรุงเทพ |
157,200 |
271 (มากสุดใน ปท.) |
เชียงใหม่ |
186,110 (สูงสุดใน ปท.) |
56 |
นครราชสีมา |
186,017 |
23 |
แม้เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2565 ทางกรมสุขภาพจิต จะออกมาเปิดเผยว่า กำลังประสานความร่วมมือกับราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อหารือในการผลิตจิตแพทย์เพิ่มให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะร่วมผลิตจิตแพทย์ให้ได้จำนวน 400 คน ภายใน 5 ปี พร้อมกระจายบริการในทุกเขตสุขภาพ
แต่น่าสนใจว่าถ้าสามารถผลิตจิตแพทย์ได้ตามเป้าหมายแล้ว ในจำนวนนั้นจะเพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยจิตเวชในขณะนั้นด้วยหรือไม่ หรือระหว่างนี้ สธ. อาจต้องมีแนวทางในการแก้ไขอื่นๆ ที่มุ่งป้องกันในเชิงรุก มากกว่ารอรักษาในเชิงรับ
- 2153 views