ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ. จัดโครงการ “ความร่วมมือการพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพ อสม. เข้าศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล” จำนวน 3,000 คน เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้กับ อสม. หมอคนแรกที่จะให้การดูแลสุขภาพอนามัยคนในชุมชน


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ศ.(พิเศษ) ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร อธิการบดีสถาบันพระบรมราชชนก ร่วมแถลงข่าว “ความร่วมมือการพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข้าศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล 3,000 คน” วันที่ 10 มี.ค. 2565

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สธ. ขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมาอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาวะที่ดี ซึ่ง อสม. กว่า 1.04 ล้านคนทั่วประเทศ คือกลไกหลักในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพปฐมภูมิของประเทศ จำเป็นต้องติดอาวุธทางปัญญา เสริมศักยภาพการเป็นหมอคนแรก โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสถาบันพระบรมราชชนก ได้ร่วมมือกันจัดโครงการให้ อสม. ได้เข้าศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล เพื่อที่จะนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ดูแลสุขภาพอนามัยคนในชุมชน รวมถึงเป็นครูต้นแบบ ครู ก และครู ข ถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีสุขภาพที่ดี

ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดี สบส. กล่าวว่า โครงการความร่วมมือพัฒนาบุคลากรการด้านสุขภาพ อสม. เข้าศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล 3,000 คน เป็นการพัฒนาและยกระดับวุฒิการศึกษาให้แก่ อสม. ใช้ระยะเวลาในการศึกษาตลอดหลักสูตร 1 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้ว สามารถนำองค์ความรู้ไปประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว และยังสามารถทำหน้าที่ อสม. ร่วมจัดการระบบสุขภาพชุมชน สื่อสารความรู้สุขภาพสู่ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน

ศ.(พิเศษ) ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร อธิการบดีสถาบันพระบรมราชชนก กล่าวว่า สถาบันพระบรมชนก ขอเชิญชวน อสม. ที่สนใจเข้าศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล ณ วิทยาลัยในสังกัด โดยกำหนดคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ ไว้ดังนี้ 1. มีอายุ 16-40 ปี นับถึงวันเปิดการศึกษา 2. จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการรับรอง 3. ปฏิบัติหน้าที่เป็น อสม. ไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยสถาบันฯ มอบหมายให้รองอธิการบดีที่กำกับดูแลวิทยาลัยพยาบาลในแต่ละเขตสุขภาพดำเนินการคัดเลือกร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตามสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อกระจายจำนวน อสม. ในแต่ละจังหวัดให้เกิดความครอบคลุมทุกพื้นที่และเป็นธรรม