ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ. เผยหาก “ยาโมลนูลพิราเวีย” เฟส 3 ได้ผล ผ่านการขึ้นทะเบียน อย.สหรัฐ-ไทย คาดนำมาใช้ได้ปลายเดือน พ.ย.นี้


นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2564 ตอนหนึ่งว่า มาตรการ Home Isolation ที่ผ่านมาได้ผลดีมาก เฉพาะในกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยขณะนี้มีผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวประมาณร้อยละ 90 และสีเหลืองที่ต้องใช้เครื่องออกซิเจนประมาณร้อยละ 10 ส่วนสีแดงที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจประมาณร้อยละ 0.5 

อย่างไรก็ตาม ได้เตรียมความพร้อมเตียงสีแดงไว้ร้อยละ 1 ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน เตรียมเครื่องออกซิเจนไว้สำหรับฮอสปิเทลและผู้ป่วยที่รักษาพยาบาลที่บ้าน โดยได้ร่วมกับสภาวิชาชาชีพแพทยสภา ราชวิทยาลัยต่างๆ จัดทำแนวทางปฏิบัติไว้พร้อมแล้ว
 
สำหรับยาโมลนูพิราเวียร์ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองเฟสที่ 3 คาดว่าจะได้ผลการทดลองส่วนแรกประมาณปลายเดือน ก.ย.นี้ หากยาได้ผลในเฟสที่ 3 จะมีการขึ้นทะเบียนกับ FDA สหรัฐอเมริกาประมาณเดือน ต.ค. จากนั้นจะขึ้นทะเบียนกับ อย. ประเทศไทย คาดว่าจะนำมาใช้ได้ปลายเดือน พ.ย. หรือต้นเดือน ธ.ค.นี้
 
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยกรมการแพทย์ได้เจรจากับบริษัทผู้ผลิตมาโดยตลอด เจรจาจองไว้สำหรับรักษาในประเทศไทยจำนวน 200,000 คน ซึ่งยาโมลนูพิราเวียร์กลไกการออกฤทธิ์จะคล้ายกับฟาวิพิราเวียร์ หากเป็นไปได้อาจจะนำมาใช้เป็นยาอันดับแรกในการรักษาโควิด-19

ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า แม้ขณะนี้มีการลดเตียงในโรงพยาบาลสนามหรือฮอสปิเทลลง เนื่องจากผู้ป่วยลดลง แต่เตียงสำหรับรับผู้ป่วยสีแดงในโรงพยาบาล ยังมีบุคลากรและทรัพยากรพร้อมรับมืออยู่ 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์จะแตกต่างจากการแพร่ระบาดครั้งที่ผ่านมา โดยขณะนี้มีการฉีดวัคซีนเข็มแรกได้ร้อยละ 37 ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุฉีดได้ร้อยละ 50.6 ขณะที่ 7 กลุ่มโรคเรื้อรังฉีดได้ร้อยละ 49 สำหรับ กทม. ฉีดแล้วกว่าร้อยละ 90 ของประชากร 

นอกจากจะมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามา ยังต้องเฝ้าระวังผลในช่วงเดือนตุลาคมว่าจะกระทบต่อการแพทย์หรือไม่