ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ เผย "โรคตุ่มน้ำพองใส" อาจเกิดได้หลังการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ยันพบได้ไม่มาก ไม่ใช่โรคติดต่อ-รักษาให้หายได้ แนะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง


นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องการเกิดโรคตุ่มน้ำพองใสหลังได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 โดยระบุว่า การเกิดโรคตุ่มน้ำพองใส มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากผลข้างเคียงหลังได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจะพบได้น้อย

ทั้งนี้ ในต่างประเทศเคยมีรายงานข้อมูลอาการข้างเคียงทางผิวหนัง ในช่วงเดือน ธ.ค. 2563 ถึงเดือน เม.ย. 2564 หลังได้รับวัคซีนโควิด-19 พบว่าการเกิดตุ่มน้ำพองใสหลังจากฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA มี 12 ราย โดย 7 ราย หายในระยะเวลาเฉลี่ย 3 สัปดาห์ และอีก 5 ราย มีการดำเนินโรคต่อเนื่องต้องเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ยังมีรายงานผู้ป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพองใสหลังฉีดวัคซีนชนิดไวรัสเว็กเตอร์ด้วยเช่นกัน

นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์เพียงพอ ที่จะสามารถระบุได้ว่าการเกิดโรคตุ่มน้ำพองใสหลังฉีดวัคซีน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดร่วมกัน หรือเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากวัคซีน โดยอาจเป็นไปได้ว่าการออกฤทธิ์ของวัคซีนที่กระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานต่อไวรัส เกี่ยวข้องกับการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์สำคัญในการเกิดโรคผิวหนังหลายชนิด

ขณะเดียวกันในอีกทางหนึ่ง อาจเป็นโปรตีนบางอย่างที่เป็นส่วนประกอบของวัคซีน ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเอง โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมในการเกิดโรคอยู่ก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า การได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นั้นมีผลดีมากกว่าผลเสีย

สำหรับ “โรคตุ่มน้ำพองใส” เป็นกลุ่มโรคผิวหนังที่พบไม่บ่อย แบ่งออกเป็น 2 โรค คือ โรคเพมฟิกัส มีอุบัติการณ์ 0.5-3.2 รายต่อประชากรแสนคน และโรคเพมฟิกอยด์ อุบัติการณ์ 2-22 รายต่อประชากรล้านคน โดยทั้งสองโรคมีอาการคล้ายคลึงกันคือมีตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นที่ผิวหนังและเยื่อบุ เมื่อตุ่มน้ำพองแตกจะกลายเป็นแผลถลอกตามร่างกาย อาการของโรคจะเป็นเรื้อรัง มีช่วงที่โรคกำเริบและโรคสงบได้

ด้าน พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเสริมว่า โรคนี้วินิจฉัยจากประวัติและอาการทางผิวหนัง ร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ซึ่งมีลักษณะเฉพาะโรค คือพบการแยกตัวออกจากกันของชั้นผิวหนัง โดยยาที่ใช้รักษาหลักคือ ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

"ผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคมากหรือมีผื่นในบริเวณกว้าง ก็จำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ เช่น ยา cyclophosphamide หรือยา azathioprine ร่วมด้วย ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการรักษาด้วยยาฉีดกลุ่มชีวะโมเลกุลซึ่งควบคุมโรคได้ดีและมีผลให้โรคสงบได้นาน" พญ.มิ่งขวัญ กล่าว

พญ.มิ่งขวัญ กล่าวว่า การรักษาโรคตุ่มน้ำพองใส ควรรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อประสิทธิภาพในการรักษาและเพื่อช่วยให้การหายของโรคเร็วขึ้น โดยหากสงสัยว่าเป็นโรคตุ่มน้ำพองใส แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง และค่ารักษาพยาบาลสามารถครอบคลุมค่ารักษาในระบบสาธารณสุข ทั้งประกันสังคม และ 30 บาทรักษาทุกโรค

อนึ่ง หากต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคตุ่มน้ำพองใสสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่ https://www.iod.go.th/category/info