ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เผยอยู่ระหว่างทำการศึกษาเปรียบเทียบเพื่อหาระดับที่เหมาะสมของการใช้วัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นด้วยโมเดอร์นา เพื่อให้สอดคล้องบริบทประเทศไทย คาดทราบผลช่วงเดือน ก.พ.นี้ ย้ำมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกระตุ้นภูมิ เพื่อรับมือสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา


ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันหลังจากฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ของโมเดอร์น่าเข็มกระตุ้น ขนาด 50 ไมโครกรัมและ 100 ไมโครกรัม โดยจะเน้นการวิจัยในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 สองเข็มแรกเป็นวัคซีนชนิดเดียวกัน เช่น ได้รับวัคซีนซิโนฟาร์ม 2 เข็ม หรือวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็ม เพื่อตอบคำถามสำคัญขณะนี้ว่าปริมาณของวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นต้องใช้เพียงใดจึงจะเหมาะสม

ทั้งนี้ สาเหตุที่จำเป็นต้องทำการวิจัยนี้ในประเทศไทย เนื่องจากการศึกษาในต่างประเทศนั้น ประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเข็มแรกและเข็มสองเป็นชนิด mRNA ส่วนประเทศไทยในระยะแรกประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตาย ก่อนที่ภายหลังจะเป็นวัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์ ดังนั้นผลการศึกษาจากต่างประเทศจึงอาจมีข้อมูลที่แตกต่างออกไป จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ

ศ.นพ.นิธิ กล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นมีความจำเป็นมาก เพราะมีเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เชื้อต้องการอยู่รอด จึงปรับตัวหนีภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราไปเรื่อยๆ โดยการจัดการจะทำได้ 2 วิธี คือการทำให้ภูมิคุ้มกันของเราสูงขึ้น กับการหาวัคซีนใหม่ แต่สำหรับโควิด-19 ที่มีการระบาดต่อเนื่องเช่นนี้ การหาวัคซีนใหม่นั้นยากเพราะต้องใช้เวลา

“การกระตุ้นภูมิคุ้มกันไม่ให้ลดลง จึงเป็นทางออกในตอนนี้ ซึ่งวัคซีนหรือยาโดยทั่วไปนั้นเหมือนกันคือ เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปแล้ว ภูมิคุ้มกันจะสูงอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ ลดลง เราจึงต้องกระตุ้นอยู่เรื่อยๆ เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันให้สูงไว้ จนกว่าเราจะมีวัคซีนโควิด-19 ใหม่ หรือโควิด-19 ไม่เป็นโรคระบาดแล้ว และกลายเป็นเหมือนไข้หวัดตามฤดูกาล” ศ.นพ.นิธิ กล่าว

ในส่วนของการวิจัยดังกล่าว จะเน้นศึกษาระดับภูมิคุ้มกันที่มีต่อโปรตีนหนาม (Spike Protein) ที่ไวรัสใช้จับกับตัวรับบนเซลล์ของร่างกาย คือ IgG และใช้วัคซีนชนิด mRNA เป็นเข็มกระตุ้น เนื่องจากผลการวิจัยทั่วโลกยืนยันว่าวัคซีนชนิด mRNA เป็นวัคซีนที่กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าวัคซีนชนิดอื่น

“ตอนนี้เรายังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งโดยเฉพาะ เราจึงต้องอาศัยวัคซีนชนิด mRNA ที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิได้มากเป็นหลักในการวิจัย และต้องใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเสร็จสิ้น จึงน่าจะทราบผลการวิจัยประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565” ศ.นพ.นิธิ กล่าว

ศ.นพ.นิธิ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อแนะนำในระหว่างนี้ ประชาชนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันและการรักษาโควิด-19 รวมทั้งติดตามข้อมูลทางวิชาการอยู่เสมอ เพราะมีข้อมูลใหม่ออกมาอยู่เรื่อยๆ ขณะเดียวกันบริษัทผู้ผลิตยาและเวชภัณฑ์ต่างก็มีการพัฒนาวัคซีนใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

“เราไม่ควรกังวลมากเกินไปกับข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะแพทย์จะต้องหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนอยู่แล้ว สิ่งที่ทุกคนควรทำคือ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคนี้ให้ได้ พยายามอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี ใส่หน้ากากล้างมือ ไม่อยู่ใกล้กันมากเกินไป แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะให้อยู่ห่างกันมากคงไม่ได้ ดังนั้น วัคซีนจึงมีความสำคัญมากในขณะนี้ และควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันไม่ให้ลดลงมาก” ศ.นพ.นิธิ กล่าว

ศ.นพ.นิธิ ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA ไปแล้ว แนะนำให้ทิ้งช่วงประมาณ 4-6 เดือนก่อนจะรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตาย ควรทิ้งช่วงประมาณ 2-3 เดือน และไวรัลเวคเตอร์ 3-6 เดือน อย่างไรก็ตามระยะห่างก่อนฉีดเข็มกระตุ้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับอัตราการระบาดในสังคม ความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ รวมถึงความเสี่ยงจากโรคประจำตัวของแต่ละคนที่จะทำให้ระดับความรุนแรงของโรคมีมากขึ้น โดยวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น จะเป็นทางเลือกที่ได้ผลมากที่สุด จนกว่าองค์การอนามัยโลกจะประกาศว่าการระบาดของโควิด-19 ยุติลงแล้ว