ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เครือข่ายภาคประชาชนเข้ายื่นหนังสือร้อง "มหาดไทย" ฟันโทษสูงสุดร้านเหล้า จ.สระบุรี หลังถูกสั่งปิดซ้ำซากจากการปล่อยวัยรุ่นมั่วสุมเหล้า-ยา เย้ยกฎหมาย-โรคระบาด วอนผู้ประกอบการเคารพกฎหมาย หวั่นคลัสเตอร์ใหม่กระทบแผนเปิดประเทศ


นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ พร้อมด้วย เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน และมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กว่า 10 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2564 ขอให้ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายขั้นสูงสุดกับสถานบริการ “หลังเขา” ที่ละเมิดคำสั่ง คสช. ที่ 22/2558 ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎหมายหลายฉบับ

สำหรับจุดยืนและข้อเสนอของเครือข่ายฯ ที่ยื่นต่อปลัด มท. ประกอบด้วย 1. ขอให้ มท.ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายขั้นสูงสุดกับสถานบันเทิงแห่งนี้ ที่ละเมิดคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 22/2558  ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ร.บ.ยาเสพติด และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีพฤติกรรมการกระทำผิดที่ซ้ำซากและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งการฝ่าฝืนเปิดในสถานที่เดิมนี้ยังเป็นความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 46/2559 อีกด้วย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างและดำรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย

2. ขอให้ มท.มีคำสั่งกำชับทุกจังหวัดให้ตรวจสอบ ดูแล กวดขัน สถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 22/2558 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันปัญหาสังคมที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่

3. เครือข่ายฯ เข้าใจถึงความเดือดร้อนของสถานประกอบการ สถานบริการ ร้านเหล้า ผับ บาร์ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายมีการผ่อนผันให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ ทุกสถานประกอบการจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา ทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาสังคมอื่นๆ ตลอดจนสถานบริการควรช่วยกันตรวจสอบ จัดการผู้ประกอบการที่สร้างปัญหา ทำผิดกฎหมาย ไม่เคารพกติกาบ้านเมือง

4. เครือข่ายขอให้กำลังใจกรมการปกครอง และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อความสงบสุขของสังคม และขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาเฝ้าระวัง แจ้งเหตุร้านเหล้าผับบาร์ที่ทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวเมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองแค ได้ตรวจค้นร้านหลังเขา อ.หนองแค จ.สระบุรี พบวัยรุ่นชายหญิง จำนวน 220 คน มั่วสุมปาร์ตี้เหล้า-ยา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งสถานบันเทิงแห่งนี้เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเมื่อเดือน ม.ค. 2564 ข้อหาร่วมกันมั่วสุมทำกิจกรรมอันเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 และยังเคยถูกชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง มท. บุกจับกุมเมื่อปลายปี 2561 จนถูกสั่งปิดเป็นเวลา 5 ปี ตามคำสั่ง คสช.

อย่างไรก็ตาม แม้เคยถูกสั่งปิดแต่กลับมาเปิดใหม่ในพื้นที่เดิมโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และเหตุการณ์ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 8 คน และต้องกักตัวผู้ต้องหา กลุ่มนักเที่ยวไว้ทั้งหมดที่ศูนย์พักคอยไว้ 14 วัน ทางเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง และภาคีเครือข่ายต่างๆ ตระหนักในประเด็นปัญหาเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ส่งผลกระทบต่อสังคม จึงมีเจตนารมณ์ในการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ชุมชน และเอกชน ในการรณรงค์และบังคับใช้กฎหมายปกป้องเด็ก เยาวชน และประชาชนให้ปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยงทุกรูปแบบ

ขณะที่ นายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง กล่าวว่า การกระทำของสถานบันเทิงแห่งนี้จะเห็นว่ามีการกระทำความผิดในหลายๆ ครั้ง ในประเด็นเดิมๆ เคยถูกสั่งปิดแต่ก็สามารถกลับมาเปิดใหม่ในพื้นที่เดิมโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและโรคระบาด ทางเครือข่ายฯ จึงขอให้มีการลงโทษตามกฎหมายสูงสุด มิใช่มุ่งเอาผิดแค่ผู้เข้ามาใช้บริการ และควรพิจารณาด้วยว่ามีใครที่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่

"มท.ควรมีข้อสั่งการให้ทุกจังหวัดตรวจสอบ และเข้มงวดสถานบันเทิง การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะขณะนี้เรากำลังจะเดินหน้าเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา จึงไม่ควรปล่อยปละละเลยให้สถานบันเทิงกลายเป็นจุดเสี่ยงแพร่โรค เกิดคลัสเตอร์โควิด-19 ขึ้นมาอีก ซึ่งอาจจะกระทบกับแผนการเปิดประเทศของเราได้  จำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันมิใช่ยอมทำผิดกฎหมายเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ" นายณัฐพงศ์ กล่าว