ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สปสช.ให้สายด่วน 1330 ช่วยประสานผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องการกลับไปรักษาในภูมิลำเนา ให้โรงพยาบาลปลายทางจัดหารถรับส่ง ด้าน "รพ.สิชล" ยืนยันรับตัวไปแล้วกว่า 150 ราย เบิกค่าพาหนะจาก สปสช.


นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหาคร (กทม.) และปริมณฑล ดังนั้นในส่วนของผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ที่ต้องการกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนาหรือในต่างจังหวัด ก็สามารถดำเนินการได้

ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะสามารถดำเนินการได้ใน 2 ทางคือ 1. ผู้ป่วยติดต่อไปยังโรงพยาบาลโดยตรง จัดการนัดหมายเรื่องการรับส่งกันโดยตรง 2. โทรมายังสายด่วน สปสช. 1330 กด 15 แล้วทาง 1330 จะประสานกับโรงพยาบาลปลายทางและจัดรถไปส่งให้ โดยโรงพยาบาลที่พร้อมรับผู้ป่วยโควิด-19 กลับไปรักษาตามภูมิลำเนา ก็จะสามารถจัดรถมารับผู้ป่วยได้ทันที

"ทางโรงพยาบาลจะเบิกจ่ายค่าพาหนะรับส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงค่าชุด PPE และค่าทำความสะอาดฆ่าเชื้อมาที่ สปสช.ได้ อย่างไรก็ตาม หากโรงพยาบาลไม่สามารถนำรถมารับผู้ป่วย สามารถใช้รถอาสาสมัคร รถมูลนิธิ ที่มีความแข็งแรง ปลอดภัย โดย รพ.เป็นผู้เบิกค่ารับส่งต่อกับ สปสช.ได้เช่นเดียวกัน" นพ.จเด็จ กล่าว

นพ.จเด็จ กล่าวว่า นอกจากนี้ สปสช.ยังร่วมมือกับ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) และคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ปรับระบบการดูแลโดยจัดการตรวจคัดกรองเชิงรุกตั้งเป้าวันละ 10,000 ราย โดยผู้ที่ติดเชื้อจะเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) ภายใต้การดูแลของคลินิกชุมชนอบอุ่นในพื้นที่นั้นๆ

นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า ในส่วนผู้ติดเชื้อที่โทรมายังสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อขอให้ประสานหาเตียงให้และยังค้างอยู่ในระบบกว่า 2,500 ราย ก็จะปรับเข้าสู่การดูแลแบบ Home Isolation ทั้งหมด หรือหากต้องการก็สามารถกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนาหรือในต่างจังหวัดได้

ด้าน นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ขณะนี้ทางโรงพยาบาลได้จัดเตรียมรถบัสโดยสารไว้หลายคันสำหรับรับตัวผู้ป่วยที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน จ.นครศรีธรรมราช และจังหวัดใกล้เคียงกลับมาจาก กทม. โดยขณะนี้รับกลับมาแล้วประมาณ 150 คน โดยค่าใช้จ่ายด้านพาหนะต่างๆ จะเบิกจาก สปสช.

"ดังนั้นผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องการกลับมารักษาตัวในภูมิลำเนาสามารถติดต่อที่โรงพยาบาลได้โดยตรงและไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทาง ซึ่งต้องขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชที่เปิดช่องให้ย้ายผู้ป่วยข้ามจังหวัดได้" นพ.อารักษ์ กล่าว

นพ.อารักษ์ กล่าวอีกว่า ในการย้ายผู้ป่วยจะคำนึงเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก โดยจะไม่รับผู้ป่วยหนักกลับเพราะอาจเกิดการเสียชีวิตระหว่างทาง ส่วนผู้ที่รับกลับก็จะไม่แวะพักระหว่างทาง รวมทั้งคำนึงถึงมาตรการความปลอดภัยอื่นๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งนอกจากที่โรงพยาบาลสิชลแล้ว ก็จะมีการขยายการดำเนินการในลักษณะนี้ในจังหวัดอื่นๆ ต่อไป