ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นพ.อุดม แถลงการณ์โควิด-19 ระบุ ไทยเข้าสู่เวฟ 4 แล้ว ระบุ วัคซีน mRNA กระตุ้นภูมิได้ดีที่สุด


ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงข่าวเมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2564 ตอนหนึ่งว่า จากข้อมูลทางคลินิก ต้องยอมรับว่าวัคซีนไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ที่เป็นชนิด mRNA จะเป็นตัวที่กระตุ้นภูมิต้านทานได้สูงสุด ประมาณหลัก 1,000-10,000 ยูนิต รองลงมาเป็นแอสตร้าเซนิก้า ในหลักพันต้นๆ ส่วนซิโนแวค จะอยู่ในหลักหลายร้อยปลายๆ

ทั้งนี้ หากพิจารณาการสร้างภูมิต้านทาน ต้องยอมรับว่า mRNA ดีที่สุด รองมาเป็นแอสตร้าฯ และรองมาเป็นซิโนแวค แต่หากดูเรื่องการป้องกันโรค วัคซีนไฟเซอร์ป้องกันสายพันธุ์เดลต้า ได้ลงลดจาก 93% เป็น 88% ส่วนแอสตร้าฯ ป้องกันสายเดลต้า จาก 66% เหลือ 60% แต่ที่สำคัญคือ ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง วัคซีนไฟเซอร์ ป้องกันได้ 96% แอสตร้าฯ ได้ 92% ซึ่งไม่แตกต่างกันในทางสถิติ

“จึงอยากย้ำให้เห็นว่า แม้การป้องกันลดลงแต่การป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรง ต้องเข้าโรงพยาบาล ป้องกันการตายยังได้ผลสูงมาก ขณะที่วัคซีนซิโนแวคข้อมูลยังน้อยว่าป้องกันได้เท่าไร แต่หากเทียบจากภูมิต้านทาน เราคิดว่ามันคงป้องกันเดลต้าไม่ดีแน่ แต่ซิโนแวค 2 เข็มจะป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงต้องเข้าโรงพยาบาล ป้องกันตายได้มากกว่า 90%เป็นข้อมูลจากหลายประเทศที่ใช้ซิโนแวค รวมทั้งข้อมูลในภูเก็ตด้วย” นพ.อุดม กล่าว

นพ.อุดม กล่าวอีกว่า ส่วนตัวถือว่าสถานการณ์ในขณะนี้เข้าสู่เวฟ 4 แล้ว เพราะเป็นไวรัสตัวใหม่กลายพันธุ์กำลังจะเป็นสายพันธุ์เดลต้า มีการแพร่ระบาดในชุมชน ครอบครัว องค์กร หาที่มาที่ไปไม่ได้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อขึ้นถึง 5,000-6000 ราย ซึ่งเราได้ยกระดับมาตรการแล้ว แต่ยังไม่สูงสุด

“ขณะนี้เป็นแค่เซมิล็อกดาวน์ กว่าจะเห็นผล 14 วัน ต้องหลัง 14 วันไปก่อนถึงจะเริ่มเห็นผล ซึ่งจะครบช่วงวันที่ 11-12 ก.ค. และจะประเมินอีกทีว่าเป็นอย่างไร เราต้องการเห็นตัวเลขไม่เกินวันละ 500-1,000 คน เราสู้ไหว แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่าสู้ไม่ไหว จึงต้องช่วยกันคือเพิ่มมาตรการด้านสาธารณสุข มาตรการส่วนบุคคล และมาตรการสังคมมากกว่านี้ และเร่งฉีดวัคซีน 2 เข็มให้มากที่สุดเกิน 70% ของประชากรให้ได้ ตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญ” นพ.อุดม กล่าว