ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

‘พิพัฒน์’ ตรวจเยี่ยม สปส. มอบนโยบาย “หลักประกันทางสังคมเด่น มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตลูกจ้าง ผู้ประกันตน” พร้อมรุดแถลงเปิดศูนย์เลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม เตรียมเลือกตั้ง 24 ธ.ค. 66 นี้


วันที่ 29 ก.ย. 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน (รง.) เดินทางตรวจเยี่ยมและรับทราบผลการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) พร้อมมอบนโยบายปีงบประมาณ 2567 “ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” และแนวทางการปฏิบัติราชการให้กับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สปส. รวมถึงเยี่ยมชมศูนย์อำนวยการจัดการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม (ศอ.กต.นจ.ผปต.) โดยมีนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการ สปส. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ 

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ในวันนี้ ได้เน้นย้ำถึงนโยบายในการปฏิบัติภารกิจของสำนักงานประกันสังคมในปีงบประมาณ 2567 ที่จะใช้ในการขับเคลื่อนงานประกันสังคมให้เข็มแข็ง เป็นที่ยอมรับ เชื่อมั่น และไว้วางใจ จากลูกจ้าง ผู้ประกันตนและสังคมโดยรวมจำนวน 6 ข้อ ประกอบด้วย 1. Micro Finance ลดหนี้ เติมทุน สร้างสุข เพื่อพัฒนาและยกระดับให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 

2

2. กองทุนมั่นคง แรงงานมั่งคั่ง ประกันสังคมยั่งยืน โดยต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และมีความยั่งยืน  3. Best e-Service ประกันสังคมยุคใหม่ สร้างความมั่นคง เพิ่มความมั่นใจ ยกระดับการให้บริการของสำนักงานประกันสังคม ผ่าน e-Service โดยการนำระบบ e-Claim มาใช้ในการให้บริการเบิก-จ่ายเงิน และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตน 

4. สร้างรากฐานเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการคุ้มครองแรงงาน ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้มีความเหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล 5. การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการทางการแพทย์ ยกระดับการให้บริการทางการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค แก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตนโดยผู้ประกันตนต้องได้รับการบริการทางด้านสุขภาพอนามัย การรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นกว่าเดิม  

6. จัดทำสิทธิประโยชน์ Package Premium สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 เช่น เพิ่มสิทธิกรณีเจ็บป่วย ชดเชยรายได้ตามค่าแรงขั้นต่ำ ค่าตอบแทนกรณีนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยอาจยกระดับให้เท่ากับผู้ประกันตนมาตรา 39 รวมทั้งการจูงใจให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง

3

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วน ศอ.กต.นจ.ผปต มีหน้าที่ในการกำกับ ควบคุม ติดตามผลการปฏิบัติงานของคณะทำงานจัดการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม และอำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ ประสานงานระหว่างหน่วยงานส่วนกลาง กับ สปส. กรุงเทพมหานคร (กทม.) พื้นที่ และ สปส. จังหวัด/สาขา รวมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งต่อนายจ้าง ผู้ประกันตน เจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้อง 

ทั้งนี้ วิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการประกันสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อรักษาผลประโยชน์อันสูงสุดของลูกจ้างผู้ประกันตน และความมั่นคงของระบบประกันสังคมไทย เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ กระทรวงแรงงาน โดย สปส. จึงได้มีการดำเนินการจัดการเลือกตั้งฯ ในวันที่ 24 ธ.ค. 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. เป็นวันเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน ณ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง และที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดทั่วประเทศ 

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า โดยเปิดให้มีหน่วยเลือกตั้งจังหวัดละหนึ่งหน่วย โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ประกอบด้วยผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 และนายจ้างที่ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม โดยลูกจ้าง 1 คน และนายจ้าง 1 คน สามารถลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทนได้ฝ่ายละ 7 คน ในการนี้ สปส. จะเปิดให้นายจ้าง และผู้ประกันตน ที่มีสิทธิลงทะเบียนเลือกตั้ง 

3

สำหรับหลักเกณฑ์ตามคุณสมบัติ มีดังนี้ ผู้ประกันตน ต้องมีสัญชาติไทย ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนเดือนที่มีการประกาศให้มีเลือกตั้ง (เม.ย. 2566) จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมไม่น้อยกว่า 3 เดือน (ภายใน 6 เดือนก่อนเดือนที่ประกาศเลือกตั้ง) 

ในส่วนนายจ้าง ต้องมีสัญชาติไทย ขึ้นทะเบียนเป็นนายจ้างติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนเดือนที่มีประกาศให้มีเลือกตั้ง (เม.ย.2566) จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมไม่น้อยกว่า 3 เดือน (ภายใน 6 เดือนก่อนเดือนที่ประกาศเลือกตั้ง) กรณีนายจ้างเป็นนิติบุคคลผู้จะใช้สิทธิต้องอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจ/กรณีเป็นผู้มีอำนาจในนิติบุคคลมากกว่า 1 นิติบุคคลต้องเลือกใช้สิทธิได้เพียงแห่งเดียว 

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 ธ.ค. 2566 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติธรรม อันจะส่งผลให้ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง” นายพิพัฒน์ ระบุ