ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ. เดินหน้าโครงการ ‘ตรวจห้องแล็บสมเหตุสมผล’ เฟส 2 หลังเฟสแรกประสบความสำเร็จ เกิดนวัตกรรมใหม่ ล่าสุดมี รพ.เข้าร่วมเพิ่มอีก 340 แห่ง ทั้งรัฐ-เอกชน “นพ.ศุภกิจ” ประเมิน หากใช้แล็บอย่างสมเหตุผลช่วยเซฟงบในส่วนที่ไม่จำเป็นได้กว่าปีละ 3,000 ล้าน


นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานการเปิดสัมมนา “การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทางการแพทย์อย่างสมเหตุผล (Rational Laboratory Use, RLU)” เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2566 และกล่าวตอนหนึ่งว่า หลักการการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ต้องมีความสมเหตุผล ไม่สั่งมากเกินความจำเป็น (Overutilization) หรือน้อยเกินไป (Underutilization) เพราะทั้ง 2 กรณี ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดผลเสียต่อทั้งผู้ป่วยและระบบสุขภาพ 

1

ทั้งนี้ ด้วยความตระหนักในปัญหาดังกล่าว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงร่วมมือกับเครือข่ายหน่วยงานทางการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัย สมาคมแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ยกร่างแนวทางการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อย่างสมเหตุผล หรือ RLU เพื่อช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้แนวทาง RLU ประกอบการตัดสินใจในการสั่งตรวจแล็บได้อย่างเหมาะสมต่อผู้ป่วย เบื้องต้นได้กำหนดไว้ 7 เรื่อง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคติดเชื้อ โรคความดันโลหิตสูง การ Checkup 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้เริ่ม Kick off โครงการเฟส 1 ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2565 ดำเนินการใน 23 โรงพยาบาลนำร่องครอบคลุม 12 เขตสุขภาพ ทั่วประเทศ โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของโรงพยาบาลนำร่องได้มีนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยและระบบสุขภาพ เช่น การปรับระบบ HIS ของโรงพยาบาล ให้มีการสร้างระบบ Pop up แจ้งเตือนแพทย์ เพื่อให้ทราบว่ามีการสั่งตรวจแล็บ กับผู้ป่วยรายดังกล่าวแล้ว ทำให้แพทย์ไม่สั่งแล็บซ้ำ ปรับเมนูการสั่งแล็บให้เป็นการสั่งทีละรายการไม่เป็นชุด แจ้งเตือนความถี่ ที่เหมาะสมในการสั่งตรวจแล็บ เพื่อจะได้ไม่ลืมการตรวจที่จำเป็นตามหลักวิชาการ มีระบบการสอบทานการสั่งตรวจแล็บ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีการพูดคุยทบทวนวางแนวทางที่เหมาะสมในการสั่งตรวจแล็บในโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับบริบท ทำให้หลายโรงพยาบาลมีผลสำเร็จที่แสดงด้วยการสั่งตรวจที่เหมาะสมขึ้น โดยบางโรงพยาบาลสามารถแสดงถึงจำนวนและค่าใช้จ่าย ที่ลดลงด้วย 

2

สำหรับการดำเนินการในโรงพยาบาลนำร่องได้ทำให้โรงพยาบาลอื่นเกิดความสนใจและสมัครเข้าร่วมเป็นเครือข่ายดำเนินการ เรื่อง RLU ในเฟส 2 อีกเป็นจำนวนมากกว่า 340 โรงพยาบาล โดยเป็นโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน และจากการเรียนรู้ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการในเฟสแรก ทำให้มีการเพิ่มเติมแนวทางในเรื่องการตรวจก่อนการผ่าตัด การใช้เลือด การตรวจไทรอยด์ 

ดังนั้นจึงได้มีการจัดงานในวันนี้ขึ้น เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจ ชี้แจงแนวทาง และถ่ายทอดการดำเนินการที่ประสบความสำเร็จ จากโรงพยาบาลในเฟสแรก เพื่อให้โรงพยาบาลที่สมัครเข้าร่วมโครงการในเฟส 2 ทราบแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลต่อไป ซึ่งหากมีการใช้แล็บอย่างสมเหตุผลจะสามารถประหยัดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็น ได้กว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี

3