ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วงเสวนาเผยเยาวชนสูบกัญชาสูงขึ้น 2 เท่า พบรูปแบบคนเสียชีวิตทั้งทางตรง-ทางอ้อม อึ้งครูทางเหนือฟ้องลูกศิษย์ถือครอบครองกัญชาเพื่อสูบเพียบ หนุนรัฐปรับกัญชาเป็น "ยาเสพติด" ช่วงสุญญากาศ พร้อมร่างกม.เข้มข้นไม่น้อยกว่าประเทศเสรีนันทนาการ


ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโปรแกรมฝึกอบรมพัฒนานักวิจัยด้านสารเสพติดมหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดเสวนาวิชาการด้านยาเสพติด กรณีผลกระทบจากการใช้กัญชา เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2565

รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการ ศศก. เปิดเผยว่า ตั้งแต่หลังวันที่ 9 มิ.ย.เป็นต้นมา ได้มีข้อห่วงใยจากหลายภาคส่วน โดยพบรายงานการเกิดโรคจิต การเกิดอาการเป็นพิษจากการใช้กัญชาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งตัวเลขจาก ศศก. พบเยาวชนสูบกัญชาสูงขึ้นราวสองเท่า

ทั้งนี้ ผลเบื้องต้นจากการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับสารเสพติดทั้งหมด ยกเว้นสุราและบุหรี่ พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 29.56% ในแบบผู้ป่วยนอก และ 44.33% ในรูปแบบผู้ป่วยใน เมื่อเทียบกับตอนก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายกัญชา ในช่วงปี 2020-2021 สวนทางกับจำนวนผู้รับการบำบัดยาเสพติดโดยตรงทุกชนิดที่ลดลง

นพ.อภิศักดิ์ วิทยานุกูลลักษณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ตัวเลขผู้เข้าสู่ระบบการรักษากรณียาเสพติดทุกชนิด ปี 2561 ประมาณ 248,000 คน ปี 2562 ประมาณ 263,000 คน ปี 2563 ซึ่งเริ่มมีการระบาดโรคโควิดพบประมาณ 220,000 คน และปี 2564 พบ 170,000 คน ส่วนปี 2565 ถึงตอนนี้พบ 86,000 คน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 มีการปรับบริการในโรงพยาบาล บุคลากรต่างๆ จะเน้นไปที่โรคโควิดเยอะ ถือเป็นความแปรปรวนที่ทำให้ตัวเลขที่ออกมาไม่สะท้อนกับความเป็นจริง หรือต่ำกว่าการคาดการณ์ความชุก แต่ตัวที่สะท้อนได้ดีคืออันตรายจากยาเสพติด เช่น อันตรายต่อตัวเอง ต่อสังคม มีการคลุ้มคลั่ง ก้าวร้าว ก่ออาชญากรรม การเสียชีวิตจากการน็อคยา การเมาสุรา กัญชา เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาจะพบข้อมูลส่วนนี้ราวๆ 2-5% ที่เป็นข่าว

1

นพ.อภิศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของกัญชาที่มีการปลดออกจากยาเสพติดในปี 2561 พบคนเข้ารับบำบัดกัญชา 5.57% ปี 2562 คิดเป็น 6.89% ส่วนปี 2563 ที่ถูกกระทบจากโควิดลดเหลือ 4.8% ปี 2564 เหลือ 4.2% ส่วนปี 2565 จนถึงตอนนี้พบ 4% ซึ่งคนที่เข้ารับการบำบัดกัญชา เมื่อเกิดปัญหาเสียการทำงาน เสียการเรียน ส่วนที่เสพแล้วยังไม่เกิดปัญหา หรือถูกรับรู้น่าจะพอสมควร

"อย่างการปลดล็อควันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา คงไม่เห็นผลทันที ต้องใช้เวลา ดังนั้นในช่วงสุญญากาศทุกฝ่ายต้องให้ข้อมูลทั้งด้านดี ด้านร้าย ของกัญชาอย่างจริงใจ แสดงถึงความห่วงใย ให้แก่กลุ่มเปราะบางได้ทราบและตัดสินใจ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ซึ่งตอนนี้พบว่ามีคุณครูจากโรงเรียนทางภาคเหนือติดต่อมาขอให้ไปให้ความรู้กับเด็กๆ จำนวนมาก เพราะพบเด็กครอบครองกัญชาในรูปแบบการสูบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเด็กหัวโจก" นพ.อภิศักดิ์ กล่าว

ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สาร THC ในกัญชาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตหลักๆ 3 กรณี คือ 1. สาเหตุโดยตรงจากการกินกัญชาเกินขนาด ซึ่งเจอน้อย แต่มักเจอในเด็กที่เผลอกินกัญชาเข้าไป 2. กระตุ้นให้เกิดอาการบางอย่างจนเสียชีวิตได้ มีการไปกระตุ้นหัวใจและหลอดเลือด แม้สูบ 1 ครั้ง มีโอกาสเป็นโรคหัวใจ ที่ต้องสวนหัวใจถึง 5 เท่า เทียบกับคนไม่สูบ

3. ผลข้างเคียงจากการใช้กัญชา ทำให้เกิดโรคจิตเวช หูแว่วประสาทหลอน บางคนคิดว่าตัวเองเป็นนก เลยกระโดดตึก หรือการใช้กัญชาทำให้มึนเมา เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ เป็นต้น ดังนั้นต้องมีการควบคุมให้เข้มข้นกว่านี้ ต้องไม่น้อยกว่าประเทศที่บอกว่ามีการใช้เสรีนันทนาการที่มีการควบคุมเข้มข้น เช่น กำหนดปริมาณการปลูกในครัวเรือน ทำมิดชิด กำหนดปริมาณครอบครองในที่สาธารณะ ห้ามสูบในที่สาธารณะ

"ของไทยตอนนี้ไม่คุมอะไรเลย เพราะปลดออกจากยาเสพติดก่อนที่กฎหมายควบคุมจะออกมา ดังนั้นจึงสนับสนุนแถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการ ในช่วงสุญญากาศให้คืนสถานะกัญชาเป็นยาเสพติด และทำกฎหมายให้เข้มข้น มีการทำประชามติ" ผศ.นพ.สมิทธิ์ กล่าว

อาจารย์เคท ครั้งพิบูลย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ความเป็นเพศทางเลือกนั้นมักไม่ค่อยถูกยอมรับมากนัก ทำให้เกิดความเครียด เลยมีการใช้สารเสพติดเพื่อบรรเทาเบาบางความรู้สึกการไม่ถูกยอมรับ ซึ่งไม่แตกต่างจากคนทั่วไป อีกกลุ่มที่ใช้สารเสพติดเพื่อการทำงาน เช่น Sex Worker ใช้ยาเพื่อลดความเจ็บปวด หรือให้มีเพศสัมพันธ์นานขึ้น และกลุ่มที่สมัครใจใช้

ดังนั้นเพื่อให้กลุ่มเพศทางเลือกเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษายาเสพติดมากขึ้น ผู้ให้บริการต้องให้ความเข้าใจ ไม่ตีตรา อย่าเหมารวมว่าเพราะเป็นเพศทางเลือกจะต้องมีการใช้สารเสพติดแน่นอน โดยนักสังคมสงเคราะห์ หรืออาสาสมัครต่างๆ อาจจะต้องเป็นกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ทางเพศแบบเดียวกัน เพื่อให้มีความเข้าใจ รับฟังซึ่งกันและกัน และสิ่งที่ต้องพูดกันคือปรับระบบให้การบำบัดทดแทนยาเสพติด (Harm Reduction) ให้เป็นมิตร สอดคล้องกับสภาพปัญหา ซึ่งการเลิกอาจจะยาก แต่ควรให้คำแนะนำถึงการป้องกันอันตราย

3

ขณะที่ Joel Gelernter มหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า จากการศึกษาด้านพันธุศาสตร์ กลุ่มที่มีการติดโอพิออยด์ ในพื้นที่ภาคเหนือของไทยก่อนที่ปัญหาจะลดลง และมีการใช้เมทแอมเฟตามีนมากขึ้นในไทย การศึกษาความสัมพันธ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับการติดเมทแอมเฟตามีน ซึ่งตอนนี้เก็บตัวอย่างได้กว่า 4 พันคน รวมถึงเน้นการศึกษาการติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าในชาวเอเชียจะมียีน ALDH2 ที่ทำให้ติดแอลกอฮอล์ได้

นอกจากนี้ยังพบยีน DLGAD2 ที่เกี่ยวข้องกับการเสพติดยาบ้า แต่ในส่วนนี้ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน ส่วนผลการศึกษากัญชานั้น มีการศึกษาในกลุ่มทหารผ่านศึก ที่เข้าสู่โปรแกรมบำบัดรักษาในโรงพยาบาลของสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ มีปัญหาสุขภาพ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างกว่า 8 แสนคน ก็พบความสัมพันธ์กันกับตัวรับสารแคนนาบินอยด์ โดยขณะนี้กำลังศึกษาเพิ่มเติมกรณีกัญชากับการเกิดมะเร็ง และกัญชากับการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ มากขึ้น อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาที่รองรับว่าปริมาณสาร THC ที่ปลอดภัยในการได้รับในแต่ละวัน

ด้าน นายอำนาจ เหล่ากอที ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวว่า แม้ตอนนี้จะยังไม่มีกฎหมายควบคุมการใช้กัญชาที่เป็นรูปธรรม แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือเด็กเยาวชนเป็นสำคัญ เพราะสุดท้ายแล้วกัญชาต้องอยู่ภายใต้มาตรการกรอบของกฎหมาย ป้องกันปัญหานำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์