ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“ชลน่าน” โต้ฝ่ายค้าน อย่าบิดเบือนกฎหมาย ยาบ้า 5 เม็ด ไม่ได้เปิดช่องให้ค้าและเสพ แต่เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วยคืนคนดีสู่สังคม พร้อมแจงปลดล็อกกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น 


นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข (สธ.) ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อกรณีนโยบายของ สธ. เรื่องของการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์หรือเพื่อการสันทนาการว่าในการแก้กฎกระทรวงสาธารณสุข มีการกำหนดไว้ชัดเจนว่าให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และเพื่อสุขภาพเท่านั้น ซึ่งตามอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ซึ่งเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ได้กำหนดให้ภาครัฐในประเทศสมาชิก ที่จะมีการใช้กัญชา ต้องออกกฎหมายมาควบคุม ซึ่ง สธ. ได้ร่างและอยู่ระหว่างรอการพิจารณา ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป ยืนยันว่าการปลูกกัญชา การผลิตหรือแปรรูปกัญชา ต้องขออนุญาตจากภาครัฐก่อนเท่านั้น

นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องกฎกระทรวงที่กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษที่ให้สันนิษฐานว่า มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และถือเป็นผู้ป่วยที่ต้องนำไปบำบัดรักษาให้หาย กรณีมียาบ้าในครอบครองไม่เกิน 5 เม็ดนั้น น.พ.ชลน่าน ชี้แจงว่า กฎหมายดังกล่าวมีไว้เพื่อเป็นการคืนคนดีสู่สังคม โดยให้โอกาสผู้ที่สมัครใจเข้ารับการบำบัดได้มีโอกาสแยกออกจากชุมชนหรือสังคมที่มีภาวะแวดล้อมสุ่มเสี่ยงต่อการกลับไปเสพยาเสพติด 

เพราะเมื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดเสร็จแล้ว ยังต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟูทางสังคมก่อน ขณะเดียวกันก็จะมีการให้ความรู้และฝึกทักษะอาชีพควบคู่ไปด้วย พร้อมย้ำว่าการจะสามารถกลับคืนสู่สังคมได้ ต้องได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่หรือผู้อำนวยการสถานพยาบาลผู้บำบัด ว่าเป็นผู้ที่หายขาดจากยาเสพติดแล้ว ไม่มีอาการที่ผิดปกติ และมีความพร้อมกลับสู่สังคม จึงจะสามารถออกจากกระบวนการบำบัดได้ 

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน หลังจากการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับดังกล่าว มีหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการบำบัดร่วมกับ สธ. แล้วถึง 322 แห่งทั่วประเทศ และมีผู้เข้ารับการบำบัดทั้งหมด 4,763 ราย บำบัดสำเร็จแล้ว 1,589 ราย ขอเน้นย้ำว่า หากสส.ทุกท่านให้โอกาสคนกลุ่มนี้ได้เข้าสู่กระบวนการบำบัดตามขั้นตอนของ สธ. ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะสามารถเลิกขาดจากยาเสพติดได้ และกลับตัวเป็นคนดีก่อนกลับคืนสู่สังคม 

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นเรื่องยาบ้า 5 เม็ด จึงไม่ใช่การเปิดโอกาสให้กับกลุ่มผู้ค้า หรือผู้ติดยาเสพติด นำมาแสวงหาผลประโยชน์อย่างที่ฝ่ายค้านอภิปราย ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาผู้อภิปรายบางคนก็เคยมีส่วนร่วมในการโหวตสนับสนุนกฎหมายดังกล่าวนี้ แต่ครั้งนี้กลับมาบิดเบือนเจตนาของกฎหมาย สร้างความสับสนให้กับประชาชน