ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ระบุ ได้แจ้งผลการพิจารณาสิทธิบัตร “ยาฟาวิพิราเวียร์” รูปแบบเม็ดแล้วว่า ไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น หากผู้ยื่นคำขอฯ ไม่ชี้แจงภายในวันที่ 30 ส.ค.นี้ ถือว่าละทิ้งคำขอ


นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสำคัญที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ในประเทศไทย มีอยู่ 2 ฉบับ หนึ่งในนั้นคือ “การขอรับสิทธิบัตรยารูปแบบเม็ด” ที่บริษัทได้ยื่นขอให้กรมฯ ตรวจสอบการประดิษฐ์ โดยกรมได้ทำหนังสือตอบกลับไปเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2564 ว่า “สิทธิบัตรดังกล่าวไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น”

ทั้งนี้ บริษัทผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรมีกรอบระยะเวลาในการชี้แจงถึงวันที่ 30 ส.ค. 2564 หากผู้ขอไม่ชี้แจงเข้ามาตามเวลาที่กำหนด จะถือว่าละทิ้งคำขอ ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522
สำหรับสิทธิบัตรอีกฉบับ เกี่ยวข้องกับโครงสร้างสารออกฤทธิ์หลักของยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งไม่เคยมีการยื่นขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย และตั้งแต่เดือน ส.ค. 2562 เป็นต้นมา ก็หมดอายุความคุ้มครองในทุกประเทศทั่วโลกแล้ว ฉะนั้นผู้ผลิตยาจึงสามารถนำสูตรโครงสร้างของสารออกฤทธิ์หลักนี้ไปพัฒนาเป็นสูตรยาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ทันที

นายวุฒิไกร กล่าวว่า เมื่อปลายปี 2563 เคยมีการประชุมร่วมกับภาคประชาสังคมและองค์การเภสัชกรรม (อภ.) แล้ว โดยที่ประชุมได้เสนอแนวทางที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผลจากการพิจารณาคำของสิทธิบัตรยารูปแบบยาเม็ด คือการขอร่วมลงทุนผลิตยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทยเพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาค ซึ่งกรมฯ ได้เสนอตัวที่จะเข้าร่วมเป็นทีมเจรจาในครั้งนี้ด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาตำรับยาขึ้นใหม่จากสารออกฤทธิ์หลักของยาฟาวิพิราเวียร์ที่ไม่มีสิทธิบัตรในประเทศไทย ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผลการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรในยาฟาวิพิราเวียร์รูปแบบยาเม็ด

“ยืนยันว่าการดำเนินการทุกขั้นตอน เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย และมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ” นายวุฒิไกร กล่าว