ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สปสช.ร่วมมอบของขวัญวันเด็ก พัฒนาสิทธิประโยชน์ “กองทุนบัตรทอง” ร่วมดูแลสุขภาพ “เด็กไทย” ก้าวสู่ประชากรคุณภาพ เผยปี 63 จัด 3 สิทธิประโยชน์ ทั้ง “ยาริทูซีแมบ” รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในเด็ก “วัคซีนโรต้าไวรัส” ป้องกันโรคอุจจาระร่วงในเด็ก 2-6 เดือน “เคลือบฟลูออไรด์ เคลือบหลุมร่องฟัน” ป้องกันฟันผุ ขณะที่ ปี 64 เตรียมเดินกหน้าสิทธิประโยชน์เพื่อเด็กไทยต่อเนื่อง   

  

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การมีสุขภาพที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ ตลอด 17 ปีที่ผ่านมาของการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช.ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพของเด็กไทยทุกกลุ่มวัยมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในครรภ์มารดา ทารกแรกเกิด จนถึงระดับปฐมวัย โดยจัดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพและคัดกรองโรค การรักษาพยาบาลทั้งกลุ่มโรคทั่วไปและโรคเฉพาะทางที่มีค่าใช้จ่ายสูง การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยเฉพาะการให้วัคซีนพื้นฐานอย่างครอบคลุม และการสนับสนุนพัฒนาการตามช่วงวัยทั้งในด้านร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ ตามแนวเวชปฏิบัติและมาตรฐานบริการที่กำหนดโดยกรมวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข ราชวิทยาลัย และสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง

ปี 2563 นี้ สปสช.ได้จัดสิทธิประโยชน์กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับเด็กไทย ได้แก่ เพิ่มสิทธิประโยชน์ยาริทูซีแมบ (Rituximab) สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด NHL (Non-Hodgkin lymphoma) ในเด็ก ซึ่งเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดในไทย สิทธิประโยชน์วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อโรต้าไวรัสในทารกอายุ 2-6 เดือน จากข้อมูลโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันในกลุ่มเด็กเล็ก ราวครึ่งหนึ่งของจำนวนเด็กที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคนี้ เกิดเชื้อจากไวรัสโรต้า และสิทธิประโยชน์ป้องกันฟันผุด้วยการเคลือบฟลูออไรด์ในเด็กอายุ 4-12 ปี และเคลือบหลุมร่องฟันในเด็กอายุ 6-12 ปี เพราะการมีสุขภาพฟันที่ดีนอกจากส่งผลดีต่อเด็ก ๆ ทำให้กินอาหารได้ง่าย ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและแข็งแรงแล้ว ยังส่งผลต่อพัฒนาการสื่อสารด้านการพูด อ่าน และออกเสียงที่ชัดเจน โดยสิทธิประโยชน์ทันตกรรมนี้สามารถนำเด็กเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง และใน กทม.ยังสามารถเข้ารับบริการที่คลินิกทันตกรรมเอกชนเข้าร่วมโครงการได้

นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา สปสช.ได้จัดระบบรองรับเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคหายาก เบื้องต้นครอบคลุม 24 โรค และการขยายสิทธิประโยชน์การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในการรักษาผู้ป่วยธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็ก โดยให้ครอบคลุมการปลูกถ่ายกรณีที่ผู้บริจาคไม่ใช่ญาติ ซึ่งผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ทำให้เข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า ส่วนงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปีงบประมาณ 2564 ตามที่ บอร์ด สปสช.ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมาและอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอต่อ ครม.พิจารณานั้น ได้เพิ่มเติมสิทธิประโยชน์หลายรายการเพื่อเด็กไทยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการคัดกรองโรคดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome) ที่ขยายการคัดกรองในหญิงตั้งครรภ์ทุกกลุ่มอายุ การตรวจคัดกรองตรวจภาวะฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria: PKU) ในทารกแรกเกิด เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาและป้องกันการเกิดภาวะปัญญาอ่อน สนับสนุนการติดตามพัฒนาการเด็กไทยโดยจัดสิทธิประโยชน์สมุดติดตามประเมินพัฒนาการเด็ก สิทธิประโยชน์แว่นตาสำหรับเด็กที่ได้รับการคัดกรองแล้วพบว่ามีปัญหาสายตา และการให้วัคซีนรวม หัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) ในเด็กอายุ 1.5 ปี  เหล่านี้จะส่งผลให้เด็กไทยได้รับการดูแลด้านสุขภาพที่ดีและทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเพิ่มขึ้น

“เด็ก ๆ ในวันนี้เขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า เป็นอนาคตของชาติ สุขภาพที่ดีจึงเป็นต้นทุนสำคัญสำหรับเด็กทุกคน การดูแลสุขภาพเด็กไทยจึงเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อให้เด็ก ๆ สามารถนำพาประเทศไปสู่การพัฒนา เจริญก้าวหน้า และมั่นคงยิ่งขึ้นได้” เลขาธิการ สปสช. กล่าว     

ทั้งนี้ วันเด็กแห่งชาติ ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 นี้ สปสช.ได้ร่วมจัดกิจกรรมภายในงาน “มหกรรมวันเด็กแจ้งวัฒนะฯ 2563” ภายใต้แนวคิด “Green Society” โดยมีการจัดแสดงเพลงฉ่อย ยุค 5.0 ชุด “สิทธิบัตรทองแม่และเด็กไทย” พร้อมมอบของที่ระลึกให้กับเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมงาน