‘รองปลัด สธ.’ สะท้อนปัญหา ‘ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทย’ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงขึ้น แต่ ‘งบฯ มีจำกัด – รายได้ภาครัฐอาจไม่โต’ ส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการ ชวนทุกฝ่ายระดมสมองหาวิธีรับมือ
นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลบนเวทีเสวนาในหัวข้อ “30 บาทรักษาทุกที่ Stakeholder Discussion ปัญหา การแก้ไข และความร่วมมือ” เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2567 ภายใต้การประชุมเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHosNet) ครั้งที่ 83 Theme : We’re Strong Together ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 – 8 มี.ค. 2567 โดยได้เผยให้เห็นถึงปัญหาภาพรวมที่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง ประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ) กำลังเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาด้านงบประมาณภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการ
นพ.สุรโชค กล่าวว่า แม้องค์การอนามัยโลก (WHO) จะมีการประเมินระบบหลักประกันสุขภาพถ้วน หน้า (UHC) ของแต่ละประเทศสมาชิก และได้ชื่นชมระบบหลักประกันสุขภาพฯ ของประเทศไทย อยู่เสมอๆ แต่ก็มีข้อห่วงใยเช่นกัน ซึ่งอาจจะมากกว่าคำชื่นชมด้วย โดยมีประเด็นหลักๆ คือ งบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพฯ ซึ่งมากกว่า 80% ภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบ
ขณะที่รายได้หลักของภาครัฐไทยนั้นมาจากการจัดเก็บภาษีรายได้ ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและหลังจากนี้ไทยจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ยังไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นท้ายที่สุด ไม่ว่าระบบหลักประกันสุขภาพฯ ไหน ในอนาคตจะถูกบีบให้เม็ดเงินคงที่หรือลดลง แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากให้วงเงินเหมาจ่ายรายหัวต่อคนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงอาจไม่สามารถทำได้
นอกจากนี้ ระบบหลักประกันสุขภาพฯ ของไทย ที่มีอยู่ 3 ระบบหลักที่ครอบคลุมคนเกือบทั้งหมด ซึ่งได้แก่ สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และบัตรทอง ในส่วนงบเหมาจ่ายรายหัวของคนทั้ง 3 สิทธินั้นก็ค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควร โดยสิทธิสวัสดิการข้าราชการจะมีงบเหมาจ่ายรายหัวค่อนข้างสูง และอัตราการเพิ่มขึ้นของงบที่มากกว่าสิทธิอื่นๆ ส่วนอีก 2 สิทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
นพ.สุรโชค กล่าวต่อไปว่า ทีนี้เมื่อขยับมาดูที่บัตรทอง ซึ่งมีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นผู้บริหารจัดการ วันก่อนมีโอกาสได้ประชุมร่วมกัน สปสช. และก็ได้ข้อมูลเรื่องฐานคิดในการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยบริการในปี 2567 ว่าในการคำนวณมีการใช้ต้นทุนของหน่วยบริการ อัตราการให้บริการ ทิศทางนโยบาย และแนวทางมากำหนด ซึ่งจะเป็นข้อมูลเดิมๆ เป็นหลัก ส่วนแผนยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายประเทศจะมีน้อยมาก ฉะนั้นสุดท้ายส่วนใหญ่ทางสำนักงบประมาณก็จะอนุมัติงบประมาณเพิ่มให้แค่ในส่วนของเงินเดือนที่ใช้ใน สปสช. 6%
“วิธีการคำนวณว่าจะต้องเอานโยบายปัญหาประเทศ หรืออะไรต่างๆ มาคำนวณด้วย มันไม่ถูกนำมาคำนวณ เพราะท้ายที่สุดแล้วเงินของประเทศมันไม่พอ
“ถ้าเรามาดูงบเหมาจ่ายรายหัว (IP/OP) ของบัตรทองจะเห็นว่าในแต่ละปีเพิ่มขึ้นน้อยมาก โดยถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ระหว่างปี ในช่วงหลังเพิ่มขึ้นน้อยมาก และที่เพิ่มขึ้นก็เป็นส่วนของเงินเดือนด้วย ส่วน Inflation (ภาวะเงินเฟ้อ) ทั้งหลายที่เคยใช้เป็นฐานคิด แต่ตอนนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ เพราะไทยมีภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ ซึ่งจริงๆ แล้วหลายคนก็คงรู้ว่าเรามีการทำให้เงินเฟ้อมันไม่สูง” รองปลัด สธ. กล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากปัญหาข้างต้นที่กระทบกับงบประมาณด้านสุขภาพแล้ว WHO ยังได้ระบุถึงปัจจัยอื่นๆ อีกด้วยที่เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงสำหรับระบบหลักประกันสุขภาพฯ ไทยภายใต้สถานการณ์ที่งบประมาณอาจมีจำกัด เช่น เรื่องการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เทคโลยีในการรักษาที่ก้าวหน้าขึ้น การเข้าถึงบริการ ตลอดจนศักยภาพในการให้บริการเพิ่มขึ้น และที่สำคัญทิศทางการรักษาในทุกโรคมันดีขึ้น
นพ.สุรโชค กล่าวอีกว่า อย่างในช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ค่าบริการทางการแพทย์ในกรณีผู้ป่วยในต่อหนึ่งหน่วย (AdjRW) ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาหลายปี แต่ช่วงหลังมานี้มีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยจากข้อมูลในปี 2566 คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 ทว่า อย่างที่กล่าวมางบผู้ป่วยในบัตรทอง (Global budget) แทบไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าโรงพยาบาลให้การรักษาได้มากขึ้น และค่าใช้จ่ายต่อการรักษาก็สูงขึ้น แต่งบที่ได้กลับไม่ต่างจากเดิม เงินจ่ายชดเชยที่ได้ต่อเคสจึงลดลง และอย่างที่หลายคนเคยเห็นในหน้าสื่อคือ ทาง สธ. ถูก สปสช. เรียกเงินคืน 2,600 ล้านบาท เนื่องจากตอนแรก สปสช. ได้จ่ายให้หน่วยบริการ 8,350 บาทต่อ AdjRW ตามที่กำหนดไว้ แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ งบประมาณไม่พอ จึงหารออกมาได้เฉลี่ยเพียง 8,000 บาทต่อ AdjRW อย่างไรก็ดี ตอนนี้กรณีดังกล่าวยังไม่มีการเรียกคืนในทางปฏิบัติ เพราะถูกยับยั้ง เพื่อให้เกิดเจรจากันก่อน
“จะเห็นว่าเงินรายได้ที่เราได้มา เมื่อหักค่าแรงแล้วเป็นค่าดำเนินการเหลือน้อยมาก ซึ่งจริงๆ ภาพรวมตรงนี้ในหน่วยบริการสังกัดอื่นๆ อาจจะไม่กระทบมาก เพราะคนไข้ในของ สปสช. ทั้งหมด 100% สธ. ดูแลไป 83% แต่รายได้ประมาณ 80%
“ปัญหาเงิน ศักยภาพในการดูแลผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้ป่วยสูงอายุมากขึ้น ค่า AdjRW มากขึ้น และตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นเวอร์ชันใหม่ ซึ่งจะทำให้ AdjRW มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่ผมคิดว่าเราจะต้องเตรียมรับมือ” นพ.สุรโชค ระบุ
รองปลัด สธ. กล่าวว่า สำหรับในปี 2567 นี้มีการของบเหมาจ่ายรายหัวจาก สปสช. เพิ่มขึ้นประมาณกว่า 100 บาทต่อหัว ซึ่งถ้าหักค่าแรงแล้วเหลือเงินที่จะได้เพิ่มประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าดูแค่ยอด 2,600 ล้านบาทที่ถูกเรียกคืนเมื่อปี 2566 ก็รู้ว่าไม่เพียงพอ ยังไม่ต้องคำนวณตอนที่หน่วยบริการในสังกัด สธ. มีการให้บริการในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นถึง 10%
“หลายครั้งเราบอกว่าระบบ UHC ของประเทศไทยดี ถามว่าดีไหม ก็อันดับที่ 22 ของโลก และประเทศที่ชนะเราก็อยู่ทางยุโรปเป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่เกาหลีประเทศเดียวที่เป็นเอเชียที่ชนะเราและไปอยู่ดันดับต้นๆ เพียงแต่ผมอยากให้ดูว่าคะแนนที่หายไปของไทยเรา เพราะแม้เราจะครอบคลุมสิทธิด้านสุขภาพทุกคนในประเทศ แต่การเข้าถึงไม่ได้ทั่วถึงจริงๆ รวมถึงคุณภาพในการรักษาที่จริงๆ แล้วหลายๆ อันมันไม่ได้ เราพูดถึงระบบ UHC เราดีมากเลย แต่ไส้ในจริงๆ แล้วมันไม่ดี และสุดท้ายที่เขาแนะนำให้ต้องระวัง แต่ไม่ถูกหักคะแนนคือเรื่องการลงทุนของประเทศไทยจะรับมือในอนาคตอย่างไรก็คงต้องช่วยกันคิด” รองปลัด สธ. กล่าว
- 636 views