ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

บอร์ด สวรส. เห็นชอบแผนขับเคลื่อนองค์กร 3 ปี ‘นพ.ศุภกิจ’ เร่งปรับองค์กรสู่สมรรถนะสูง มุ่งโจทย์วิจัยสู่การใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ใช้องค์ความรู้พัฒนาระบบสุขภาพ ทั้งในภาวะปกติและวิกฤตเร่งด่วน 


ที่ประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (บอร์ด สวรส.) ครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2566 โดยมี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน มีมติเห็นชอบ “แผนบริหารจัดการ สวรส. ปีงบประมาณ 2567’ ตามที่ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการ สวรส. นำเสนอ ซึ่งจะพัฒนา สวรส. ไปสู่ “Smarter HSRI for Better Health” ที่มีระยะเวลาเป้าหมายใน 3 ปี ถัดจากนี้

สำหรับ สวรส. ในฐานะองค์กรวิชาการระบบสุขภาพของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายด้านสาธารณสุขและการพัฒนาประเทศของรัฐบาล โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน สำคัญ ได้แก่ 1. สร้างและจัดการองค์ความรู้การวิจัยด้านสุขภาพ 2. พัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ 3. สร้างและพัฒนาบุคลากรวิจัยและเครือข่ายวิจัย 4. พัฒนากลไกสนับสนุนการบริหารจัดการองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง

1

4

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า แผนบริหารจัดการ สวรส. ในปีงบ 2567 นี้ มีเป้าหมายที่จะพัฒนา สวรส. ไปสู่ “Smarter HSRI for Better Health” โดยเสริมสร้างสิ่งที่มีอยู่เดิมและพัฒนาสิ่งใหม่ เพื่อเป้าหมายการพัฒนาการดำเนินงานและระบบสุขภาพที่ดีกว่า โดยมีเป้าหมายระยะ 3 ปี โดยในปี 2567 จะเน้นปรับองค์กรให้สามารถรองรับเป้าหมายการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางระบบการกำหนดโจทย์วิจัยและกรอบการให้ทุนวิจัยที่ตอบโจทย์การพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ การวางแนวทางสื่อสารนโยบายและสื่อสารสังคม จัดตั้งกลไกการเชื่อมประสานเครือข่าย การพัฒนากฎ/ระเบียบที่เกี่ยวข้องและการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ตลอดจนด้านบุคลากรและการบริหารทุน

สำหรับปี 2568 เน้นเร่งดำเนินงานในเรื่องที่เริ่มไว้ในปี 2567 ให้มีประสิทธิผลสูงสุด รวมถึงการใช้ประโยชน์งานวิจัยที่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ความร่วมมือกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ และในปี 2569 เน้นสร้างความมั่นคงและคำนึงถึงความยั่งยืนในการดำเนินงานของสถาบัน ตลอดจนผลักดันให้ สวรส. เป็นสถาบันที่มีขีดความสามารถสูงในการสร้างและสนับสนุนการใช้องค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศ ทั้งในภาวะปกติและวิกฤตเร่งด่วน

1

ในส่วนของกิจกรรมที่จะเร่งให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดทำ Research Mapping เพื่อหาโจทย์วิจัยมุ่งเป้า โดยเฉพาะการหาโจทย์วิจัยเชิงรุก ซึ่งคาดหวังให้แล้วเสร็จโดยมีแนวทางและโจทย์วิจัยภายในปี 2567, การสร้างความร่วมมือในงานวิจัยด้านสุขภาพกับหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข พร้อมทั้งองค์การมหาชนในกำกับและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น WHO Thailand, Global Fund และหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัย (PMU) ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยสุขภาพ โดยจะพัฒนาให้เกิดกลไกความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมไม่น้อยกว่า 3 เรื่อง ในปี 2567, การใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายใต้โครงการ Genomic Thailand โดยจะจัดทำข้อเสนอแนวทางและกระบวนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสำหรับนักวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมคืนข้อมูลให้แก่อาสาสมัครและประโยชน์สาธารณะ

ตลอดจนการจัดตั้ง HSIU (Health System Intelligence Unit) เป็นหน่วยบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อตอบสนองความต้องการของฝ่ายนโยบายและสังคมทั้งภาวะปกติและเร่งด่วน โดยวางแผนเป็นหน่วยเชิง function ที่สามารถนำเสนอองค์ความรู้อย่างเป็นระบบและทันการณ์ ตลอดจนการปรับปรุง/แก้ไขพระราชบัญญัติ สวรส. พร้อมดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ รวมทั้งการปรับปรุงองค์กรในด้านต่างๆ เพื่อการมีสมรรถนะสูง

5

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบผลการนำเสนอการศึกษาทางเลือกเชิงนโยบายในการกระจายแพทย์ไปยังหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่ขาดเเคลนหรือห่างไกลในชนบท ซึ่งประเด็นด้านบุคลากรทางการแพทย์เป็นประเด็นหนึ่งที่ รมช.สธ. ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพ ทั้งนี้ นายสันติ ได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า งานวิจัยต้องชัดเจนและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจเชิงนโยบายได้ เช่น การวิเคราะห์สถานการณ์การขาดแคลนแพทย์ว่าปัจจุบันขาดแคลนหรือไม่ ถ้าขาดแคลน ขาดแคลนเท่าไหร่อย่างไร ตลอดจนการเสนอทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงระบบในระยะยาวต่อไป