ประชุมบอร์ดพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ นัดแรก สธ. เสนอชัด แนวทางพัฒนาระบบข้อมูล นำร่องบัตร ปชช. ใบเดียวรักษาได้ทุกที่ 4 จังหวัด ‘แพร่-เพชรบุรี- ร้อยเอ็ด-นราธิวาส พร้องเร่งรัดทุกหน่วยงานทำเต็มที่ เผย เดือน ม.ค. 67 ปชช. มีประวัติสุขภาพบนมือถือ เม.ย. 67 เพิ่มระบบจ่ายเงินออนไลน์
วันที่ 24 ต.ค. 2566 นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงกรอบการพัฒนาระบบบัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ ในที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธาน ว่า นโยบายดังกล่าวเป็นโยบายที่สำคัญในการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพในโรงพยาบาลทุกระดับ ทั้งรัฐและเอกชน
ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนให้ได้รับบริการที่สะดวกมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ อย่างไรก็ตาม หากประชาชนบางส่วนไม่ถนัดที่จะใช้สมาร์ทโฟนก็สามารถใช้บัตรประชาชนในการรับบริการ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกัน
นพ.พงศธร กล่าวว่า สำหรับการพัฒนาระบบจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย 1. การพัฒนาระบบบันทึกข้อมูลของโรงพยาบาล คลินิก ร้านยา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นจุดส่งต่อข้อมูลของผู้มารับบริการ 2. การพัฒนาระบบยืนยันตัวตน การตรวจสอบสิทธิการรักษา การยืนยันเข้ารับบริการ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ของแพทย์ และบุคลากรอื่นๆ เป็นอาทิ
3. การพัฒนาระบบการทำงาน เช่น ประวัติสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ ใบรับรองแพทย์ ใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ การนัดหมาย ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และ 4. การพัฒนาระบบส่วนที่เชื่อมต่อกับประชาชนทางแอปพลิเคชันไลน์ และของ สธ. เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อกับประชาชนทั่วประเทศ โดยขณะนี้ สธ. มีฐานข้อมูลจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งรวมทั้งชาวต่างด้าว และชาวต่างชาติด้วย โดยมีทั้งหมดกว่า 66 ล้านคน
ขณะเดียวกันในระบบไลน์แอปพลิเคชัน และของ สธ. ก็มีประชาชนราว 35 ล้านคน ซึ่งอาจใกล้เคียงกับแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดย สธ. จะใช้ฐานข้อมูลเหล่านี้ในการต่อยอดให้เกิด Quick win 100 วันได้ทันที สำหรับความปลอดภัยด้าน cyber security และความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เป็นสิ่งที่ สธ. คำนึงถึงและให้ความสำคัญสูงสุดในการพัฒนาระบบนี้
นพ.พงศธร กล่าวต่อไปว่า โครงการนี้จะเริ่มนำร่องใน 4 จังหวัด กระจายทุกภูมิภาคทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ได้แก่ จ.แพร่ จ.เพชรบุรี จ.ร้อยเอ็ด และ จ.นราธิวาส โดยจะมีโรงพยาบาลสังกัด สธ. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงกลาโหม โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา รพ.สต. ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และนำบทเรียนจากพื้นที่นำร่องดังกล่าวมาปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปขยายผลต่อไป
ทั้งนี้ ในเดือน ม.ค. 2567 ประชาชนใน 4 จังหวัดจะมีประวัติสุขภาพแสดงบนโทรศัพท์ สามารถดึงประวัติของตนเองมาเก็บไว้ในสมุดสุขภาพ (Health wallet) บนโทรศัพท์ของตนเองได้ นอกจากนี้ ในส่วนของหญิงตั้งครรภ์ จะมีสมุดฝากครรภ์สีชมพูบนโทรศัพท์ ซึ่งถ้าหากต้องการใบรับรองแพทย์ จะมีให้ในระบบดิจิทัลที่มีลายเซ็นของแพทย์ โดยไม่ต้องใช้กระดาษ ป้องกันการปลอมแปลง และสะดวกต่อการใช้งาน
มากไปกว่านั้น เมื่อประสงค์จะไปรับยาที่ร้านยา หรือไปเจาะเลือดก็จะมีใบสั่งยา หรือแล็บแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่เชื่อมโยงไปยังร้านยา และแล็บ แบบอัตโนมัติ อีกทั้งโรงพยาบาล ร้านยา คลินิก รพ.สต. ใน 4 จังหวัด จะมีระบบการแพทย์ทางไกลที่เชื่อมต่อประวัติสุขภาพผ่านโทรศัพท์ของประชาชน มีระบบนัดหมายออนไลน์ มีแจ้งเตือนการมารับบริการ การส่งยาทางไปรษณีย์ และอื่นๆ
พร้อมการเบิกจ่ายผ่านระบบกลาง ที่เตรียมพัฒนาไปสู่ระบบข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และต่อยอดด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สำคัญ สธ. มีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธอภาพของการเงินในอนาคต โดยหน่วยบริการจะได้รับเงินภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากการส่งเบิก เป็นอาทิ
นพ.พงศธร กล่าวอีกว่า ในเดือน เม.ย. 2567 สธ. จะเพิ่มระบบจ่ายเงินทางออนไลน์ ซึ่งเมื่อประชาชนไปรับบริการเสร็จแล้ว ไม่ต้องไปรอที่เคาท์เตอร์จ่ายค่าบริการ สามารถกดจ่ายผ่านโทรศัพท์ได้เลย รวมถึงที่ตู้คีย์ออส ในกรณีที่ไม่มีสมาร์ทโฟน การส่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป ข้อมูลสุขภาพที่เตรียมการจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ หากข้อมูลที่เป็นประวัติส่วนตัวในการรักษาจะมีระบบป้องกันขั้นสูง ต้องมีรหัส OTP ของผู้ป่วย ก่อนที่แพทย์จะส่งข้อมูลไปได้ เพื่อเป็นการป้องกัน ความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล
ไม่เพียงเท่านั้น ระบบสามารถเชื่อมโยงไปถึงการเจาะเลือดใกล้บ้าน และการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
- 511 views