ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาบุคลากรสาธารณสุข สธ.- ก.พ. เห็นชอบ 5 ข้อ ไฟเขียวเพิ่มหมออีก 10,929 คน ภายในปี 2569 มีหมอเพิ่มเป็น 35,578 ตำแหน่ง แก้ปัญหาภาระงานล้นมือ 


นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2566 ตอนหนึ่งว่า จากกรณีที่พบว่าปัจจุบันภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเพิ่มขึ้นมากซึ่งมาจากปัจจัยหลายด้าน ขณะนี้ สธ. และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้หารือร่วมกันในการหาแนวทางแก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เกิดขึ้นแล้ว โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่วมกันในประเด็นสำคัญ 5 ข้อ ได้แก่ 

  1. เห็นชอบที่จะมีการเพิ่มตำแหน่งข้าราชการแต่ละวิชาชีพให้ได้ตามกรอบขั้นสูงที่กำหนด ภายในปี 2569 เช่น แพทย์ปัจจุบันมี 24,649 คน เพิ่มเป็น 35,578 คน พยาบาลปัจจุบันมี 116,038 คน เพิ่มเป็น 175,923 คน เป็นต้น 
  2. การดูแลเรื่องความก้าวหน้าในวิชาชีพ เช่น วิชาชีพพยาบาล ที่ไม่สามารถขึ้นเป็นระดับชำนาญการพิเศษได้เนื่องจากไม่ตรงตามข้อกำหนดในระเบียบ จะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันเพื่อดูเกณฑ์ที่ติดขัดว่าผ่อนปรนได้หรือไม่ 
  3. การจัดสรรบุคลากรให้เพียงพอ โดยเฉพาะแพทย์ รวมทั้งจะเสนอแพทยสภาในการศึกษาต่อแพทย์ประจำบ้าน ให้เพิ่มการฝึกอบรมในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 48 แห่งของกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นสถานฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านมากขึ้น เพื่อคงอัตรากำลังแพทย์ไว้ในพื้นที่ และเสนอ ก.พ. ไม่นับเป็นการลาศึกษาต่อ เนื่องจากเป็นการไปฝึกปฏิบัติงานในอีกหน่วยบริการหนึ่ง เพื่อให้ไม่เป็นข้อจำกัดในการเลื่อนขั้นเลื่อนระดับ 
  4. การจัดสรรแพทย์เพิ่มพูนทักษะ (แพทย์ใช้ทุนปี 1) ให้เพียงพอกับภาระงาน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงฯ ได้รับจัดสรรไม่ถึง 70% จะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาแพทย์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาแพทย์ (Consortium) ขอรับการจัดสรรเพิ่มเป็น 85% และ 
  5. โครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (CPIRD) พบว่าแพทย์คงอยู่ในระบบมากถึง 90% ดังนั้นจะขยายการผลิตให้ได้แพทย์ภาพรวมแต่ละปีประมาณ 2 พันคน ตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง 2 เรื่องนี้จะมีการเสนอกับแพทยสภาต่อไป โดยหลังจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข และ ก.พ. จะมีการตั้งคณะกรรมการในระดับปฏิบัติการ เพื่อร่วมกันทำงานในการแก้ไขปัญหา ข้อติดขัดต่างๆ ให้มีความคืบหน้าภายใน 30 วัน 

นายอนุชา กล่าวว่า ปัญหาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ เกิดขึ้นจากทั้งการเข้าสู่สังคมสูงอายุ การให้บริการผู้ป่วยยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่กำหนดให้การบำบัดดูแลผู้ติดยาเสพติดเป็นบทบาทหน้าที่หลักของ สธ. ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีมากถึง 1 ล้านคน การถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่พบปัญหาว่าบางแห่งยังไม่สามารถจัดบริการตามที่ประชาชนคาดหวังได้ ทำให้ประชาชนกลับมารับบริการที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)มากขึ้น ตลอดจนประชาชนมีความคาดหวังต่อรับบริการสาธารณสุขมากขึ้นด้วยนั้น 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อปรับเปลี่ยนและปรับปรุงระบบบุคลากรทางการแพทย์และสาธารสุขให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงให้ความสำคัญกับแรงจูงใจ ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์และด้านสาธารณสุขด้วย

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและชื่นชมแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขที่เสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจ ปฏิบัติภารกิจในการรักษา ดูแลประชาชนมาอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี รวมถึงการร่วมกันแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด-19 จนทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้มาได้ จนประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศทั่วโลก โดยเชื่อว่าด้วยจรรยาบรรณและจิตวิญญาณของแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขจะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนงานสาธารณสุขไทยอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต” นายอนุชา กล่าว