ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมอนามัย ให้ข้อมูลโภชนาการ ‘ปาท่องโก๋-ชาไทย’ หลังได้รับการโปรโมทเป็นอาหารอร่อยระดับโลก


หลังจากที่ TasteAtlas องค์กรสากลที่เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับรสชาติอาหารท้องถิ่นทั่วโลก ได้จัดอันดับให้ “ปาท่องโก๋” ติดอันดับ 5 ประเภทของหวานสตรีทฟู้ดที่ดีที่สุดในโลก รวมถึงจัดอันดับให้ “ชาไทย” ติดอันดับ 7 ของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ที่อร่อยที่สุดในโลก

ล่าสุด กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกมาให้ข้อมูลประชาชนถึงคุณค่าทางโภชนาการของ “ ปาท่องโก๋” และ “ชาไทย” โดยพบว่า อาหารทั้งสองชนิดนี้ให้พลังงานต่อหน่วยบริโภคค่อนข้างสูง

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย อธิบายว่า ปาท่องโก๋ 100 กรัม ให้พลังงานถึง 441 กิโลแคลอรี (มีคาร์โบไฮเดรต 40.56 กรัม ไขมัน 27.79 กรัม) โดยปาท่องโก๋ 1 คู่ขนาดกลาง มีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม ให้พลังงานประมาณ 132 กิโลแคลอรี (คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม ไขมัน 8 กรัม)

ทั้งนี้ ปาท่องโก๋เป็นขนมที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันอิ่มตัว รวมทั้งให้พลังงานสูง เหมาะผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงาน แต่ก็มีโซเดียมจากผงฟูหรือเกลือปรุงรสสูงด้วย จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ และโรคความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ ปาท่องโก๋ส่วนใหญ่จะนิยมใช้น้ำมันทอดซ้ำ ซึ่งก่อให้เกิดสารโพลาร์ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง ดังนั้นวิธีกินปาท่องโก๋แบบไม่อ้วนและครบถ้วนคุณค่า จึงควรเลือกปาท่องโก๋ที่ใช้น้ำมันใหม่ในการทอด สังเกตได้จากสีที่เป็นน้ำตาลอ่อน และไม่ควรกินเกิน 2 คู่ต่อวัน

“อาจกินพร้อมโจ๊ก ไข่ต้ม เพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีน หรือ กินกับผลไม้ไม่หวานจัด น้ำเต้าหู้ชนิดไม่หวาน เพิ่มธัญพืช เช่น ถั่วแดง เม็ดแมงลัก ข้าวบาร์เล่ย์ หรือลูกเดือย เพื่อเพิ่มใยอาหารช่วยดักจับไขมัน และเลี่ยงการกินปาท่องโก๋แบบจิ้มกับดิปปิ้งอื่นๆ” นพ.สุวรรณชัย กล่าว

สำหรับ “ชาไทย’ หรือ ชาเย็น 1 แก้ว ปริมาณ 200 มิลลิตร ให้พลังงานประมาณ 430 กิโลแคลอรี ขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละร้าน มีคาร์โบไฮเดรต 69 กรัม ไขมัน 15 กรัม น้ำตาล 53 กรัม หรือประมาณ 13 ช้อนชา เพราะเสน่ห์ของชาไทยจะใส่นมข้นหวาน น้ำตาลหรือนมสด เพื่อให้มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม

ทั้งนี้ จากการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร ปี 2564 พบว่า ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป บริโภคเครื่องดื่มชง (ชา กาแฟ น้ำหวาน ชานม) สูงถึงร้อยละ 26.3 และ กลุ่มอายุ 45-59 ปี ดื่มเครื่องดื่มชงมากที่สุด ร้อยละ 34.8

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวันร่างกายไม่ควรได้รับน้ำตาลที่มากเกิน 6 ช้อนชา ดังนั้นหากดื่มบ่อยหรือเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เกิดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน หลอดเลือดสมองและหัวใจ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วนลงพุงได้

ฉะนั้นวิธีดื่มชาไทยแบบใส่ใจสุขภาพคือ ควรสั่งแบบหวานน้อย ไม่เกิน 2 ช้อนชา รวมทั้งความหวานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล นมข้น น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม หรือไซรัปในเครื่องดื่มชงเย็นทุกประเภท ไม่เกิน 2 ช้อนชาเช่นเดียวกัน

“การกินมื้อเช้าที่ดีต่อสุขภาพควรหลีกเลี่ยงอาหารเช้าแบบเร่งด่วนที่ให้พลังงานสูงเกินไป
หรือผ่านการทอดซ้ำๆ เช่น การกินปลาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวานกับเครื่องดื่มชาเย็น ควรรับประทานมื้อเช้า
ให้ครบ 5 หมู่ เน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรืออาหารประเภทแป้งที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสี ที่ยังคงคุณค่า
ของสารอาหารไว้ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เพราะมีใยอาหารสูง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดทำให้รู้สึกอิ่มนาน กินคู่กับไข่ต้มหรือเนื้อไก่ที่ไม่ใช้น้ำมันในการปรุงมากเกินไปก็จะได้รับโปรตีนเพิ่มเติม รวมถึงผักผลไม้อาทิ มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วเหลือง แอปเปิล ฝรั่ง ส้ม มะละกอ เพื่อเพิ่มใยอาหารและวิตามินที่สำคัญ อย่าลืมออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานควบคู่กันไปด้วย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว