ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมสุขภาพจิต เผยหากพบผู้มีความเสี่ยงผิดปกติทางจิต กฎหมายกำหนดให้ส่งไปรักษาที่ รพ. ได้


นพ.จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2565 ว่า จากการก่อเหตุสร้างความไม่สงบในงานกิจกรรมที่ผู้เข้าร่วมภายในงานจำนวนมาก โดยผู้ก่อเหตุถูกระบุว่ามีอาการทางจิตเวชจนสร้างความกังวลให้กับผู้ที่อยู่ภายในงาน และเกิดข้อคำถามจากสังคมว่าบุคคลที่มีอาการทางจิตนั้นจะได้รับการดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น กรมสุขภาพจิตขอแจ้งว่า ตาม พ.ร.บ. สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ได้มีการกำหนดกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งตามมาตรา 22 บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา 1. มีภาวะอันตราย 2. มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา

ขณะที่ มาตรา 23 ระบุว่า ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีลักษณะตามมาตรา 22 ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจโดยไม่ชักช้า และให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการตามมาตรา 27 

ทั้งนี้ จากข้อมูล สธ. เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่ก่อความรุนแรงรวม 3,815 ราย โดยในจำนวนนี้มีผู้ป่วยจิตเวชก่อเหตุรุนแรงซ้ำจำนวน 510 ราย โดยผู้ป่วยทั้งหมดนี้ได้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาของระบบสาธารณสุข 

ดร.พญ.เบ็ญจมาส พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรมมการสุขภาพจิตแห่งชาติ  กล่าวว่า กรณีผู้รับผิดชอบสถานที่คุมขังหรือสถานสงเคราะห์หรือพนักงานคุมประพฤติพบบุคคลที่อยู่ในความรับผิดชอบมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่ามีลักษณะ ตามมาตรา 22 ให้นำส่งไปยังสถานพยาบาลของรัฐซึ่งอยู่ใกล้โดยไม่ชักช้า เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการเบื้องต้นตามมาตรา 27 ได้ทันทีเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม จากการรายงานผลการดำเนินงานโดยสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ประจำปี 2564 พบว่า มีข้อมูลผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิตฯ ทั้งในและนอกสังกัดกรมสุขภาพจิตมีจำนวนทั้งสิ้น 269 ราย โดยในสัดส่วนนี้เป็นผู้ที่ถูกดำเนินการส่งต่อตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต โดยยังไม่ได้ก่อคดีเพียง 59 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 21.93 เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าการนำ พ.ร.บ.สุขภาพจิต มาใช้ยังสามารถที่จะเร่งขยายการดำเนินการให้มีความเข้าใจร่วมกันในทุกภาคส่วน โดยทุกฝ่ายต้องรับทราบถึงบทบาทหน้าที่เพื่อช่วยกันควบคุมการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงในสังคมต่อไป

นพ.จุมภฏ กล่าวต่ออีกว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติ ในสังคมที่มีคนอยู่ร่วมกันหลากหลาย การแก้ไขความขัดแย้งมีทั้งในเชิงบวก ซึ่งนำไปสู่การช่วยกันแก้ไขความขัดแย้งไปสู่ระบบที่ดีมากยิ่งขึ้น ส่วนความขัดแย้งเชิงลบจะนำไปสู่ความรุนแรง เกิดความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย การป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งนำไปสู่ความรุนแรง คือต้องมองความขัดแย้งเป็นเรื่องของระบบ มุมมองหรือทัศนคติ ไม่บ่งชี้ไปที่ตัวบุคคล 

สำหรับวิธีการแก้ไขคือการเจรจา การประนีประนอม หรือให้เสียงส่วนใหญ่ตัดสิน ไม่ทำร้ายผู้เห็นต่าง ซึ่งยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างไม่มีที่สิ้นสุด จึงขอวอนสังคมให้ความสนใจต่อเรื่องปัญหาด้านสุขภาพจิต อย่างตระหนักแต่ไม่ตระหนกหรือวิตกกังวลมากจนเกินไป เพราะกฎหมาย และการดำเนินการในกรณีนี้มีระบุไว้ชัดเจน ซึ่งหากประชาชนพบบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลทั่วไปที่แสดงอาการผิดปกติหรือมีอาการกำเริบ หากมีแนวโน้มความรุนแรงมากและเป็นอันตราย สามารถโทรแจ้งเหตุสายด่วนตำรวจ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีที่ไม่รุนแรง สามารถโทรขอคำปรึกษาที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 

1