ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สหรัฐอเมริกาได้ชื่อว่าเป็นประเทศหนึ่งเดียวในกลุ่มชาติร่ำรวยที่ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีปัญหา (สหรัฐฯล้าหลังบริการสุขภาพ ประเทศเดียวในกลุ่มชาติร่ำรวยที่ไม่มีประกันสุขภาพถ้วนหน้า) กล่าวคือ ประชาชนส่วนใหญ่เสียค่ารักษาพยาบาลในราคาสูงลิ่วแต่กลับได้รับบริการที่สวนทางกับสิ่งที่ต้องจ่ายไป ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญกับสภาวะหนี้สินมหาศาล (สหรัฐอเมริกา: หมดเนื้อหมดตัว เมื่อป่วยเป็นมะเร็ง) 

ไม่เพียงแต่ปัจเจกเท่านั้นที่ต้องประสบกับปัญหาดังกล่าว เหล่าภาคเอกชนเองก็ไม่ต่างกัน เมื่อพวกเขาต้องจ่ายภาษีประกันสุขภาพเป็นประจำทุกปี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือองค์กรใดก็ตามในสหรัฐอเมริกา โดยปกติแล้วพวกเขาจะต้องเสียภาษีนิติบุคคลเฉลี่ยที่ 327 พันล้านดอลลาร์ในแต่ละปี และยังต้องเสียภาษีประกันสุขภาพของนิติบุคคล (corporate health care tax) อีก 1.1 ล้านล้านดอลลาร์หรือคิดเป็น 3 เท่าของภาษีนิติบุคคล

น่าสนใจกว่านั้นคือไม่มีประเทศไหนในกลุ่ม OCED ที่ต้องเสียภาษีประกันสุขภาพจำนวนมหาศาลขนาดนี้ต่อธุรกิจของพวกเขา

“ลองจิตนาการว่าหากมีกฎหมายใดที่สามารถยกเลิกภาษีประกันสุขภาพของนิติบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ละองค์กรไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในส่วนดังกล่าว แล้วนำส่วนต่างไปเพิ่มเป็นเงินเดือนให้กับลูกจ้าง ลดงบประมาณของรัฐบาลท้องถิ่น ลดการขาดดุลทางการค้า - ทั้งหมดที่ว่านั้นเกิดขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มงบประมาณของรัฐบาลกลาง”

คือโจทย์ใหญ่ของ มาร์ค อาร์. คราเมอร์ (Mark R. Kramer) และ จอห์น พอนทิลโล (John Pontillo) ผู้เขียนบทความเรื่อง End the Corporate Health Care Tax เผยแพร่ลง Harvard Business Review เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา

ซึ่งทั้งสองมองว่าเรื่องดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นและทำได้จริง หากชาวอเมริกันมีการถกเถียงกันในประเด็นการเมืองเกี่ยวกับ Obamacare และตระหนักถึงระบบประกันสุขภาพของตัวเองในทุกวันนี้ ว่าเป็นภาระและเป็นภาษีที่ไม่จำเป็นกับภาคบริษัทเอกชนในสหรัฐเลยสักนิด

โดยผู้เขียนเสนอว่าควรนำระบบประกันสุขภาพแบบกองทุนเดียว (single-payer health care system) คือประกันสุขภาพที่ประชาชนทุกคนจะได้รับบริการทางการแพทย์โดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้ให้การอุดหนุนงบประมาณดังกล่าวเพียงผู้เดียวมาใช้แทนระบบปัจจุบัน โดยมองว่าระบบดังกล่าวช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและความป่วยไข้ของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยประหยัดงบประมาณ ลดปัญหาการทำงานที่ทับซ้อนและขาดประสิทธิภาพของบริการสาธารณสุขใน 7 ภาคส่วน ดังต่อไปนี้

1.  การบริการที่ไม่จำเป็น

2.  การให้บริการที่ไม่ได้ผล

3.  ค่าใช้จ่ายส่วนเกินจากบริการต่างๆ นอกเหนือจากทางการแพทย์

4.  ค่าบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น

5.  ข้อผิดพลาดจากค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจก่อนป่วย

6.  ฉ้อโกง

7.  บริการทางการแพทย์จากโครงการ Medicare สำหรับผู้สูงอายุ และ Medicaid สำหรับผู้ยากไร้และผู้ทุพพลภาพ

ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีให้กับเฉพาะด้านสาธารณสุข แต่การยกเลิกภาษีดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ เมื่อบริษัทเอกชนต่างๆ สามารถนำเงินที่ต้องเสียภาษีมาหมุนเวียนหรือแปรเปลี่ยนให้เป็นการลงทุนต่างๆ แทน

“การยกเลิกภาษีประกันสุขภาพแล้วผลักให้เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางภายใต้ระบบประกันสุขภาพแบบกองทุนเดียว จะช่วยเพิ่มยอดสุทธิกำไรของบริษัทได้ถึง 733 พันล้านดอลลาร์/ปี นำมาสู่การลงทุนใหม่ๆ”

อย่างไรก็ตาม ระบบประกันสุขภาพและภาษีประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกาจะออกมาเป็นทิศทางเช่นไร ยังคงต้องจับตามองต่อไปจนกว่าจะทราบผลการเลือกตั้งมิดเทอมที่เพิ่งมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ถึงอย่างนั้น ทั้งสองยืนยันชัดเจนว่าหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวซึ่งจะต่อยอดให้กับหลายๆ มิติต่อมา ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมหรือเศรษฐกิจให้ดีขึ้นกว่าเดิมนั้นมีอยู่ทางเดียวคือ การยกเลิกการเก็บภาษีประกันสุขภาพของนิติบุคคล

ที่มา: End the Corporate Health Care Tax (hbr.org)