ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เดอะแลนซิต (The Lancet) วารสารการแพทย์ทรงอิทธิพลระดับโลก ได้ปล่อยรายงานการศึกษานโยบายและการลงทุนด้านสุขภาพสหรัฐฯ ในยุคของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Public policy and health in the Trump era) ออกมา

รายงานฉบับดังกล่าว ระบุว่า ในระหว่างปี 2545-2562 การลงทุนด้านสาธารณสุขของรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงจาก 3.21% เป็น 2.45% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในประเทศทั้งหมด

อัตราการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงการบริหารงานของทรัมป์ ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์หายไปราว 50,000 ตำแหน่ง เป็นหนึ่งในต้นตอปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงโรคระบาดโควิด-19

ในกลางเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ในสหรัฐฯ มียอดรวมกว่า 5 แสนคน การศึกษาชี้ว่า 40% ของผู้เสียชีวิต เป็นกรณีที่สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ หากสหรัฐฯ มีการลงทุนด้านสาธารณสุข และทำนโยบายส่งเสริมการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประชาชน  

เมื่อเม็ดเงินลงทุนด้านสุขภาพลดลง ยังส่งผลต่ออายุขัยเฉลี่ยของประชากร มีชาวสหรัฐฯมากกว่า 461,000 คนเสียชีวิตก่อนอายุขัยที่ควรเป็น

การศึกษาเรียกภัยคุกคามด้านสุขภาพนี้ว่า “โรคระบาดอันเงียบงัน”

สาเหตุมิใช่เพียงเพราะสหรัฐฯ ไม่มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ยังเป็นเพราะบริบทด้านการเมืองและวัฒนธรรมที่ทำให้การผลักดันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นไปได้ยาก

สหรัฐฯ มีประวัติศาสตร์การเหยียดเชื้อชาติอย่างยาวนาน ย้อนกลับไปตั้งแต่การค้าทาสเมื่อ 400 ปีก่อน ซึ่งทิ้งความเชื่อฝังหัวที่ว่า คนผิวขาวมีอภิสิทธิมากกว่าคนเชื้อชาติอื่น ความเชื่อนี้ขัดแย้งกับหลักการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและรัฐสวัสดิการ ที่ต้องการสร้างความเท่าเทียมระหว่างคนต่างเชื้อชาติและสีผิว  

การศึกษาชี้อีกว่า มีความพยายามของนักการเมือง ผู้เชี่ยวชาญ และภาคประชาสังคม ในการผลักดันการปฏิรูประบบสุขภาพมาอย่างยาวนาน แต่นักปฏิรูปต้องเจออุปสรรคจากการเหยียดเชื้อชาติ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ปมนี้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์

ภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ สถานการณ์การเหยียดเชื้อชาติรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะทรัมป์เองก็นิยมคนสีผิวขาว เห็นได้จากสัดส่วนคนผิวขาวที่ครอบงำรัฐสภา ทั้งมีการเลือกผู้พิพากษาที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเข้ามาทำงานในศาลสูงสุด การขับเคลื่อนกฎหมายหรือนโยบายที่สร้างความเท่าเทียมจึงไม่เกิดขึ้น

หนึ่งในกรณีศึกษา คือความพยายามของทรัมป์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act ซึ่งเสนอโดยรัฐบาลภายใต้อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา มีวัตถุประสงค์ให้รัฐบาลร่วมจ่ายค่าประกันสุขภาพให้กับประชาชน  

ทรัมป์เห็นว่ากฎหมายดังกล่าวเพิ่มภาระทางงบประมาณของรัฐบาล แม้เขาจะแพ้การเลือกตั้งเมื่อปีที่ผ่านมา และไม่สามารถล้มกฎหมายได้ในท้ายที่สุด แต่ในช่วง 4 ปีที่ทรัมป์อยู่ในรัฐสภาก็ทำให้จำนวนผู้มีประกันสุขภาพไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่ควรเป็น  

พญ.แมรี่ บาสเสทท์ (Mary Bassett) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วารด์ หนึ่งในผู้เขียนรายงานการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้น ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของ Democracy Now! ว่าระบบสุขภาพของสหรัฐฯแบ่งแยกเป็นหลายกองทุน และส่งผลต่อศักยภาพด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ ในภาพรวม

ชาวสหรัฐฯ ส่วนมากพึ่งพาประกันสุขภาพของภาคเอกชนซึ่งมีราคาแพง แต่ก็มีกองทุนสุขภาพที่ช่วยสนับสนุนค่าประกันสุขภาพให้ประชากรเฉพาะกลุ่ม

เช่น กองทุน Medicare ครอบคลุมเฉพาะผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ขณะที่กองทุน Medicaid คลอบคลุมเฉพาะผู้มีรายได้น้อย อาศัยงบประมาณของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น พบในหลายกรณีที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่ให้ความสำคัญกับหลักประกันสุขภาพ จึงจัดสรรงบประมาณให้กองทุนนี้ไม่มากนัก

พญ.แมรี่ กล่าวว่า การมีกองทุนสุขภาพแยกเป็นหลายกองทุน ทำให้การควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ในสหรัฐฯ ทำได้ยาก เพราะขาดฐานข้อมูลของประชาชน การกระจายวัคซีนก็มีความสับสน เพราะไม่มีฐานข้อมูลที่ช่วยให้ฝ่ายนโยบายตัดสินใจว่าใครควรได้วัคซีนก่อนหรือหลัง

เธอเรียกร้องให้รัฐบาลเรียนรู้จากวิกฤติโรคระบาด และเอาจริงเอาจังกับการปฎิรูประบบสุขภาพให้เป็นกองทุนเดียว ซึ่งนอกจากจะสร้างการเข้าถึงการรักษาพยาบาลให้ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมแล้ว ยังช่วยให้ฝ่ายนโนยายสามารถวางแผนงานด้านสาธารณสุข รวมถึงเม็ดเงินการลงทุนด้านสุขภาพ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ