ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เครือข่ายภาคประชาชนเข้ายื่น 1 แสนรายชื่อถึงประธานสภา ชงแก้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มประสิทธิภาพคุมโฆษณา-ห้ามใช้ตราเสมือน เพิ่มความรับผิดชอบของผู้ขาย ชี้ต่างจากร่างของกลุ่มธุรกิจที่มุ่งส่งเสริมมากกว่าควบคุม


นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ภปค.) พร้อมด้วยเครือข่ายภาคประชาชน และตัวแทนสมาชิก ภปค.กว่า 30 คน นำรายชื่อประชาชนกว่า 100,000 รายชื่อร่วมเสนอร่าง แก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้ เครือข่ายภาคประชาชนที่ประกอบไปด้วย เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เครือข่ายผู้ปกครองในสถานศึกษา องค์กรด้านเด็ก เยาวชน แอลกอฮอล์วอช เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ได้แต่งกายสะท้อนผลกระทบในหลายมิติ ทั้งอุบัติเหตุ ความรุนแรงในครอบครัว ทะเลาะวิวาท อาชญากรรม ผู้ป่วย พร้อมกับชูป้ายข้อความต่างๆ

นายธีรภัทร์ กล่าวว่า สาระสำคัญของ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับของ ภปค. ยึดเจตนารมณ์เดิมของกฎหมายไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่องการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ปกป้องเด็กและเยาวชน การคุ้มครองสุขภาพของประชาชน และการลดผลกระทบทางสังคม เพิ่มกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดต่างๆ ให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ยังห้ามการใช้ตราเสมือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาโฆษณา ควบคุมการทำกิจกรรม CSR ของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยให้บริจาคได้แต่ห้ามนำมาโฆษณา ปรับลดโทษในฐานความผิดที่เกี่ยวข้องกับผู้ดื่ม เพิ่มสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งกับร้านค้าหรือผู้ที่ขายให้คนเมาครองสติไม่ได้หรือขายให้เด็กและไปเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น

"จะเห็นว่าร่างภาคประชาชน แตกต่างจากร่างของกลุ่มธุรกิจที่มุ่งส่งเสริมมากกว่าควบคุม ซึ่งให้ยกเลิกมาตรการสำคัญๆ เช่น ยกเลิกการควบคุมการโฆษณาเหลือแค่ห้ามโฆษณาอันเป็นเท็จ ให้ขายได้ 24 ชั่วโมง ให้ขายในมหาวิทยาลัยได้ ให้คนของธุรกิจน้ำเมาเข้ามาอยู่ในกลไกคณะกรรมการนโยบายระดับชาติ เป็นต้น" นายธีรภัทร์ กล่าว

นายธีรภัทร์ กล่าวอีกว่า การแก้ไขกฎหมายต้องเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณภาคีเครือข่ายทั่วประเทศที่ร่วมใจกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ซึ่งทราบว่าผู้ที่ร่วมลงนามส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จึงอยากเชิญชวนประชาชนมาร่วมขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปด้วยกัน

ขณะที่ นายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ใช้มานานกว่า 13 ปี ทำให้ข้อกฎหมายบางอย่างตามไม่ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการใช้สื่อสมัยใหม่ การมีผู้ผลิตรายใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้นำเข้ารายใหญ่ยังมีการทำผิด แต่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง

ทั้งนี้ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มีการยกร่าง พ.ร.บ.ฉบับแก้ไขออกมาในนามรัฐบาล ขณะเดียวกันฝั่งภาคธุรกิจที่เสนอร่างแก้ไขเข้ามาด้วยเช่นเดียวกัน แต่ฉบับของฝั่งธุรกิจพบว่ามีการปรับเนื้อหาที่น่ากังวลว่าเป็นการส่งเสริมการขาย และบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าการควบคุม

นายธีระ กล่าวว่า ล่าสุดจึงได้มีการร่วมลงชื่อสนับสนุนร่างแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชน ทั้งหมด 107,971 รายชื่อ นำมายื่นต่อประธานสภาเพื่อขอให้พิจารณาคงไว้ซึ่งเจตนารมณ์เดิม เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากขึ้น และขอย้ำว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายควบคุม การจะส่งเสริมหรือว่าด้วยการผลิต ลดการผูกขาดนั้นต้องไปว่ากันที่ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ไม่ใช่มารื้อกฎหมายฉบับนี้จนถอยหลังลงคลอง

ด้าน นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังรับเรื่องว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะส่ง 107,971 รายชื่อ ไปตรวจสอบว่าเป็นรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และจะนำเสนอต่อประธานรัฐสภาให้พิจารณาว่าร่าง พ.ร.บ.นี้เข้าข่ายกฎหมายที่ประชาชนลงชื่อถูกต้องตามหลักการหรือไม่

"ถ้าร่างฉบับนี้ผ่านการพิจารณารับหลักการ ไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน จะเข้าสู่ระบบการรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชน หลังจากผ่านทุกขั้นตอนแล้วจะส่งให้นายกรัฐมนตรีเซ็นรับรอง และเสนอประธานสภาบรรจุในระเบียบวาระต่อไป จึงฝากขอให้ประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นตามสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ" นายสมบูรณ์ กล่าว