ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมแพทย์แผนไทยฯ แจงกรณีถอนงานวิจัย "ฟ้าทะลายโจร" เพื่อแก้ไขตัวเลขข้อผิดพลาด 1 จุด-ไม่กระทบผลวิจัยหลัก ยืนยันผลลัพธ์ลดปอดอักเสบได้-นโยบายใช้ตามเดิม


พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2564 ถึงประเด็นการศึกษาวิจัยฟ้าทะลายโจร โดยระบุว่า ทีมนักวิจัยของกรมฯ ได้ถอนงานวิจัยที่ส่งไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ เนื่องจากพบความผิดพลาดทางสถิติ 1 จุด จึงนำเอกสารกลับมาแก้ไขให้ถูกต้องก่อนส่งกลับไปตีพิมพ์ใหม่ มิได้ถูกปฏิเสธจากวารสารแต่อย่างใด

สำหรับความผิดพลาด 1 จุด คือค่านัยสำคัญทางสถิติ เนื่องจากตอนแรกมีจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ค่อนข้างน้อย ค่านัยสำคัญทางสถิติอยู่ที่ 0.03 หมายถึงทดลอง 100 ครั้ง ผลลัพธ์คงเดิม 97 ครั้ง แต่ในระหว่างรอตีพิมพ์มีการพิจารณาอีกครั้งพบว่าค่าอยู่ที่ 0.112 หมายถึงทดลอง 100 ครั้ง ผลลัพธ์คงเดิม 90 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในทางวิชาการ และนักวิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ต่อผลลัพธ์ จึงถอนกลับออกมาเพื่อแก้ไข

"อย่างไรก็ตามเนื้อหางานวิจัยหลักยังเป็นไปตามรายงานฉบับแรก คือ ใช้ป้องกันผู้ติดโควิดอาการเล็กน้อยไม่ให้เกิดภาวะปอดอักเสบ เช่นเดียวกับทิศทางนโยบายการใช้ฟ้าทะลายโจรจึงยังเหมือนเดิม ทั้งการจ่ายยาในระบบการดูแลที่บ้านหรือชุมชน" พญ.อัมพร กล่าว

พญ.อัมพร กล่าวว่า สำหรับงานวิจัยนี้ ทางกรมฯ ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของฟ้าทะลายโจรสกัดในผู้ป่วยโควิด-19 นับตั้งแต่เริ่มพบการระบาดของโรคซึ่งเป็นโรคใหม่ ยังไม่มียาที่ได้รับรองการรักษาโดยตรง จึงได้มีการศึกษายาชนิดต่างๆ ที่คาดว่าจะใช้รักษาโควิดได้ จนได้ทำการศึกษาฟ้าทะลายโจรที่มีคำตอบระดับห้องทดลอง พบว่ามีแนวโน้มได้ผลดี

ทั้งนี้ จากการศึกษาในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงอายุ 18-60 ปี ไม่มีโรคประจำตัว และศึกษาแบบกสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจรในปริมาณที่คำนวณสำหรับการรักษา จำนวน 29 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบที่ได้รับยาที่ไม่มีสารสกัดฟ้าทะลายโจร (ยาหลอก) 28 ราย พบว่ามีแนวโน้มได้ผลดี ลดการพัฒนาของโรคไม่ให้เดินหน้ารุนแรงขึ้นจนมีปอดอักเสบ 

สำหรับกลุ่มที่ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร ไม่พบอาการปอดอักเสบทั้งหมด ส่วนกลุ่มที่ใช้ยาหลอกมีปอดอักเสบ 3 ราย คิดเป็น 10.7% ขณะที่การคงอยู่ของตัวไวรัสในวันที่ 5 ของกลุ่มที่ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร พบตัวไวรัส 10 ราย ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้สารสกัดฟ้าทะลายโจร พบตัวไวรัสเกินครึ่งคือ 16 ราย จึงตอกย้ำความเป็นไปได้ของฟ้าทะลายโจรที่มีประสิทธิภาพในการรักษา

"นอกจากนี้ในการศึกษายังไม่พบปัญหาผลกระทบเรื่องตับ ไต และระบบเลือด ถือว่ามีความปลอดภัย จึงผลักดันการศึกษาต่อเนื่อง นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการใช้ยา รวมไปถึงที่ได้เสนอผลวิจัยในระดับนานาชาติ โดยส่งไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ เพื่อแบ่งปันเพื่อนนักวิจัยแวดวงอื่น" พญ.อัมพร กล่าว

พญ.อัมพร กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามสารสกัดฟ้าทะลายโจรถือว่าเป็นยา ต้องใช้อย่างระมัดระวังภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ควรรับประทาน 180 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งวันละ 3 ครั้งต่อเนื่อง 5 วัน ส่วนเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไปรับประทาน 3.5-5 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งวันละ 3 ครั้งต่อเนื่อง 5 วัน ข้อห้ามใช้คือผู้ที่มีอาการแพ้ หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพราะอาจกระทบทารกได้ ส่วนผู้ป่วยโรคตับและไตอาจทำให้ยาสะสมในร่างกาย เนื่องจากกำจัดยาได้ช้า รวมถึงผู้ที่รับประทานยาตัวอื่น เช่น วาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต