‘บัตรทอง’ ยกระดับไม่หยุดยั้ง เชื่อมต่อหน่วยปฐมภูมิ 4 จว.อีสาน ผู้ป่วยสะดวกตรงไหนรักษาตรงนั้น

ผู้ใช้สิทธิบัตรทองใน 4 จังหวัด “ร้อยเอ็ด-ขอนแก่น-มหาสารคาม-กาฬสินธุ์” สามารถเข้ารับการรักษา ณ หน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ เพียงแค่พกบัตรประชาชนใบเดียว

นพ.อุดม อรุณรุ่งศรี ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 7 ขอนแก่น เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2564 ผู้ใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 ซึ่งประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม และ กาฬสินธุ์ สามารถเข้ารับบริการยังหน่วยบริการปฐมภูมิ (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และศูนย์สุขภาพชุมชน) ที่ไหนก็ได้ (ทุกแห่ง) ในพื้นที่ 4 จังหวัด โดยไม่ต้องจ่ายค่ารักษาแต่อย่างใด

“ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา คนไข้สิทธิบัตรทองในเขตสุขภาพที่ 7 สามารถไปรับบริการระดับหน่วยบริการปฐมภูมิได้ทุกแห่งใน 4 จังหวัดนี้ โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว และไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่ทุกครั้งที่ไปใช้บริการต้องนำบัตรประชาชนติดตัวไปด้วย” นพ.อุดม กล่าว

นพ.อุดม กล่าวว่า การเชื่อมต่อระบบบริการ 4 จังหวัด ภายในเขตสุขภาพที่ 7 เป็นไปตามนโยบายยกระดับบัตรทอง “30 บาท รักษาทุกที่” ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ที่ต้องการอำนวยความสะดวกประชาชน และลดความแออัดในสถานพยาบาล

สำหรับการทำงาน ทางเขตสุขภาพที่ 7 ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะเป็นผู้ดูแลเรื่องระบบบริการและระบบข้อมูลบริการ ส่วนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 7 ขอนแก่น จะรับผิดชอบเรื่องงบประมาณสำหรับจ่ายชดเชยให้หน่วยบริการปฐมภูมิ กรณีคนไข้ข้ามจังหวัดมารักษา

ทั้งนี้ ในอดีตเมื่อคนไข้ข้ามจังหวัดมารักษา หน่วยบริการปลายทางที่ให้การรักษาก็จะต้องเรียกเก็บค่าบริการจากหน่วยบริการต้นทางของผู้มีสิทธิ แต่ปัจจุบัน สปสช.จะกัดงบประมาณไว้เป็นกองทุนกลาง เมื่อหน่วยบริการให้การรักษาผู้ป่วยที่ข้ามจังหวัดมา ก็สามารถเบิกชดเชยจาก สปสช.ได้ทันทีฃ

“เป้าหมายของโครงการนี้คือต้องการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบบริการปฐมภูมิ ซึ่งเป็นระบบที่ สปสช.เชื่อมั่นว่าจะเป็นรากฐานสำคัญของการดูแลสุขภาพของประชาชน และลดความแออัดของโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามขอแนะนำว่าผู้ป่วยควรเข้ารับบริการยังหน่วยบริการที่อยู่ใกล้บ้าน หรือบริการใกล้บ้านใกล้ใจ เพราะหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการใกล้บ้านใกล้ใจจะรู้ข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยดีที่สุด” นพ.อุดม กล่าว