ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

HITAP จับมือ เครือข่าย ISPH จัดการประชุมระดับนานาชาติ ‘Priorities Conference 2024’ เชิญ 160 องค์กรจาก 45 ประเทศทั่วโลก ร่วมถกประเด็น ‘อนาคตการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพ - กลยุทธ์เพื่อสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืน’


เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับ เครือข่ายนักวิจัย บุคลากรทางการแพทย์ และผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพ (International Society for Priorities in Health หรือ ISPH) เปิดงานการประชุมเชิงวิชาการระดับนานาชาติ “การจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพ ครั้งที่ 14 (Priorities Conference 2024 Conference : 14th International Society for Priorities in Health Conference) ภายใต้ธีม “Shaping the Future of Health Prioritization: Strategies for Sustainable Solutions” โดยมี นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นประธานในพิธี ซึ่งภายในงานมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 320 คน จาก 160 องค์กรใน 45 ประเทศทั่วโลก 

สำหรับการประชุมการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพจัดขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบายที่มีความสนใจ และผู้ที่ทำงานด้านการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพจากทั่วโลก ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับแนวทาง วิธีการ และงานวิจัย ที่จะนำไปสู่การพัฒนาระบบสุขภาพให้เกิดความยั่งยืน โดยในครั้งที่ 14 นี้ถือเป็นครั้งแรกที่การประชุมดังกล่าวถูกจัดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางอย่างประเทศไทย

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อการประเมินโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP Foundation) กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสำรวจว่าทิศทางการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ตลอดจนนำข้อมูลและองค์ความรู้ที่ได้จากนานาประเทศไปพัฒนาระบบสุขภาพให้มีความเข้มแข็ง สามารถยืนหยัดต้านความท้าทายและภัยคุกคามด้านสุขภาพที่สำคัญในอนาคตได้ ซึ่งไม่ใช่แค่สำหรับระบบสุขภาพของประเทศไทยเท่านั้น แต่หมายรวมถึงระบบสุขภาพของทั่วโลกด้วย

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก และอื่นๆ อีกมากมาย เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่จะสร้างความกดดันให้กับการจัดสรรงบประมาณของแต่ะละประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด และท้าทายต่อความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพในภาวะวิกฤต แต่ไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาอะไร เชื่อว่าทุกคนจะสามารถค้นหาวิธีรับมือความท้าทายต่างๆ ร่วมกันได้

2

“นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ ISPH ที่การประชุมนี้ถูกจัดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งในฐานะผู้จัดงานเราหวังว่าจะนำพันธมิตรจากทั่วทุกมุมโลกมาแบ่งปันประสบการณ์และสนับสนุนการขับเคลื่อนของเราให้ไปสู่การพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับทุกคน ดังนั้นการจัดประชุมใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงอยากจะใช้โอกาสนี้ขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการบริหารของ ISPH คณะกรรมการด้านวิทยาศาสตร์ คณะกรรมการวิชาการ ผู้บริจาค และทุกท่านสำหรับการสนับสนุนและทำให้การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นมาได้” ศ.นพ.วิจารณ์ ระบุ

ศ.ดร.โจเซฟ มิลลัม (Joseph Millum) ประธาน ISPH กล่าวว่า การตัดสินใจอย่างสมเหตุสมผลเกี่ยวกับการการลำดับความสำคัญในการจัดสรรบริการสุขภาพในบริบทที่ทุกประเทศมีงบประมาณ และทรัพยากรที่ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน จนนำไปสู่การทำให้คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับบริการสุขภาพ ถือเป็นปัญหาสำคัญที่หลายประเทศต้องเผชิญ และเป็นปัญหาที่พูดง่ายแต่แก้ได้ยาก เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ความรู้หลากหลายด้านมาวิเคราะห์ ทั้งที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ แง่มุมทางการเมือง จริยธรรม ความยุติธรรม ฯลฯ 

ดังนั้น เหตุผลสำคัญที่ ISPH ริเริ่มจัดการประชุมในลักษณะนี้ขึ้นก็เพื่อเชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาอาชีพที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายกันทั่วโลกมารวมกัน ไม่ว่าจะผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายแพทย์ นักเศรษฐศาสตร์ นักจริยธรรม นักปรัชญา นักสังคมศาสตร์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และหวังให้พวกเขาใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้จากผู้คนจากประเทศต่างๆ จากสาขาวิชาที่แตกต่างกัน จากมุมมองที่ต่างกัน และสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ตลอดจนสร้างความก้าวหน้าในการหาแนวทางเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ทุกคนกำลังเผชิญ

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบสุขภาพของไทย เนื่องจากไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่มีการใช้ระบบการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์มาผนวกเข้ากับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จนทำให้ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณที่มีไม่มาก สามารถทำให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพ ยา หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ปัจจุบันด้วยระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยที่ครอบคลุมบริการทุกอย่าง จึงกำลังเผชิญความท้าท้ายในด้านการลำดับความสำคัญด้านสุขภาพที่ต้องการแนวทางมาช่วยสนับสนุนในการพิจารณาการดำเนินการหลังจากนี้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือการบริหารจัดการระหว่างการเพิ่มบริการเพื่อรักษาโรคที่มีความร้ายแรงแต่ค่าใช้จ่ายสูง กับโรคที่การรักษาราคาไม่แพงแต่สามารถดูแลตัวเองได้ ฯลฯ

“เราจะรอดูอีก 3 วันหลังจบกิจกรรม น่าจะได้อะไรบางอย่างที่อาจจะทรงพลังมาก เพราะนี่เป็นการระดมสมองกันของนักวิชาการทั่วโลก ซึ่งทาง HITAP คงสรุปออกมาให้ สปสช. ว่าในภาพใหญ่ด้านการประเมินความคุ้มค่า และการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพจะเดินไปทิศทางไหน แล้วระบบหลักประกันสุขภาพฯ ของไทย จะสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนาในส่วนไหนเพิ่มได้อีก และผมคิดว่านอกจากการประชุมในครั้งนี้จะทำให้เราได้ประโยชน์แล้ว อาจจะช่วยให้ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศยากจนสามารถบรรลุการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพฯ ได้มากขึ้นด้วย

“ผมยืนยันว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นจุดเด่นของไทย เราจะสามารถแก้ปัญหาความท้าท้ายที่เป็นทิศทางใหญ่ๆ ระดับโลกได้หมด ทั้งความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด สงครามระหว่างประเทศ แต่จะบริหารจัดการอย่างไรให้เกิดความชาญฉลาดและความเหมาะสมกับบริบทบ้านเรา ไม่มากไปไม่น้อยไป” นพ.จเด็จ กล่าว

อนึ่ง การประชุมในครั้งนี้ จะมีกิจกรรมทั้งหมด 3 วันด้วยกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 – 10 พ.ค. 2567 ซึ่งภายในงานจะมีทั้งการจัดเวทีเสวนาโดยผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ การนำเสนอผลงานวิจัยและเวิร์กชอปเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพ รวมถึงเวทีอภิปรายในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลจากสถานการณ์จริง มาประกอบการจัดลำดับความสำคัญ รวมถึงการสมดุลระหว่างความเป็นธรรม และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกับการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพในสภาวะวิกฤต