ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ครม.รับทราบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพจ่าย ‘เบี้ยยังชีพ’ ผู้สูงอายุ โดยปรับอัตราจ่ายแบบ ‘ขั้นบันได’ และหากมีการ ‘ย้ายภูมิลำเนา’ ก็สามารถรับเงินได้ในเดือนถัดไปทันที


ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2566 ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติรับทราบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจ่าย ‘เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ’ สอดรับกับข้อห่วงใยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งมีแนวทางการดำเนินการใน 4 ประเด็น

ทั้งนี้ ประกอบด้วย 1. กรณีการย้ายภูมิลำเนาของผู้มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุให้ได้รับสิทธิในเดือนถัดไปทันที เพื่อไม่ให้เสียสิทธิการรับเงิน และกรมการปกครองจัดทำระบบที่สามารถตรวจสอบการย้ายภูมิลำเนาของผู้สูงอายุได้ รวมทั้งให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมบัญชีกลางตรวจสอบข้อมูลและคำนวณงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นในแต่ละปี เพื่อส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นได้อย่างถูกต้อง

2. การปรับอัตราการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ให้ปรับอัตราการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ณ วันที่ผู้สูงอายุมีอายุครบในเดือนนั้นทันที ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุระหว่างปีงบประมาณ ทำให้ผู้สูงอายุที่มีอายุครบ 70, 80 และ 90 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ได้รับเบี้ยยังชีพในอัตราเดิมตลอดปีงบประมาณ จึงทำให้ผู้สูงอายุกลุ่มดังกล่าวเสียสิทธิ

3. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และหลักเกณฑ์แนวทางการรับลงทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมทั้งปรับปรุงระบบสารสนเทศการจัดการฐานข้อมูลเบี้ยยังชีพ เพื่อให้สามารถคำนวณการใช้จ่ายงบประมาณในการปรับอัตราการจ่ายเงินได้

4. คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) เร่งรัดการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและนำเข้าที่ประชุม กผส. และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นนำมาพิจารณาเพื่อประกอบการแก้ไขระเบียบดังกล่าวด้วย