ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยแพร่พยากรณ์โรคและภัยรายสัปดาห์ คาดผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน และเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญพันธุ์ของยุงที่เป็นพาหะนำโรค พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากปี 2564 2.6 เท่า 


กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยแพร่พยากรณ์โรคและภัยรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 24-30 ก.ค. 2565 ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญพันธุ์ของยุงซึ่งเป็นพาหนะนำโรค โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชนบทชายป่าหรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ ทำให้มีโอกาสเกิดโรคและมีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนได้  โรคไข้มาลาเรีย หรือมีชื่อเรียกได้อีกว่า ไข้จับสั่น ไข้ป่า ไข้ดง ไข้ร้อนเย็น ไข้ดอกสัก ไข้ป้าง มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค ซึ่งเป็นยุงที่ออกหากินเวลากลางคืน

จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไข้มาลาเรียในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 13 ก.ค. 2565 พบผู้ป่วย จำนวน 4,765 ราย มากกว่าจำนวนการรายงานผู้ติดเชื้อในปี 2564 ถึง 2.6 เท่า กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุ 25-44 ปี รองลงมาคือ 15-24 ปี  และอายุ 5-14 ปี ตามลำดับ จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ ตาก 2,724 ราย  แม่ฮ่องสอน 757 ราย และกาญจนบุรี 429 ราย ตามลำดับ 

นอกจากนี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกร (ร้อยละ 48.0)  รับจ้าง (ร้อยละ 25.0) และเด็ก/นักเรียน (ร้อยละ 24.0) ชนิดเชื้อส่วนใหญ่ คือ P.vivax (ร้อยละ 93.8) รองลงมา P.falciparum (ร้อยละ 3.0)  ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเชื้อ P.vivax จะเป็นเชื้อชนิดรุนแรงน้อยกว่า P.falciparum แต่ถ้าไม่ได้รักษาให้หายขาด เชื้อสามารถอยู่ในร่างกายคนได้นานหลายปี ทําให้มีอาการของโรคไข้มาลาเรียแบบเป็นๆ หายๆ

อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ของการติดเชื้อมาจากการถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัด แต่สาเหตุอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ การถ่ายโลหิต ฯลฯ เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไข้มาลาเรีย เชื้อจะอยู่ในตัวยุงประมาณ 10-12 วัน เมื่อยุงนั้นไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อมาลาเรียจากต่อมน้ำลายเข้าสู่คน จึงทำให้คนที่ถูกยุงกัดเป็นไข้มาลาเรีย 

สำหรับอาการเริ่มแรกของไข้มาลาเรียจะเกิดขึ้นหลังจากถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัดประมาณ 10-14 วัน จะมีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ อาจมีอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหารร่วมด้วย หลังจากนั้นจะมีอาการหนาวๆ ร้อนๆ เหงื่อออก อ่อนเพลียและเหนื่อย

ทั้งนี้ หากประชาชนมีอาการดังกล่าวหลังมีประวัติเคยเข้าไปในป่าหรืออาศัยอยู่ในป่าในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือนก่อนเริ่มป่วย ให้รีบไปพบแพทย์ และให้ประวัติการเดินทางเข้าป่าหรือพักอาศัยในป่า กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลว่า เนื่องจากโรคไข้มาลาเรียไม่มีวัคซีนและไม่มียาเพื่อป้องกันการเกิดโรคโดยเฉพาะ  ดังนั้น หากต้องเดินทางเข้าป่าหรือไปในพื้นที่เสี่ยงควรป้องกันตนเอง ดังนี้ 1. สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดแขนขาให้มิดชิด  2. ใช้ยาทากันยุงหรือจุดยากันยุง  3. นอนในมุ้งชุบน้ำยาทุกคืน ใช้มุ้งชุบน้ำยาคลุมเปลเมื่อไปค้างคืนในไร่นาป่าเขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

1