ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ได้สร้างผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อบุคลากรทางการแพทย์ “ด่านหน้า”  ทั้งด้านปริมาณภารกิจของการทำหน้าที่รักษาเยียวยาผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 รวมทั้งผู้ป่วยโรคอื่นๆ ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงของการติดเชื้อร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในห้องฉุกเฉินของทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ที่ต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลา ซึ่งหมายถึงการเร่งยื้อชีวิตช่วยเหลือผู้ป่วยให้ทันท่วงที ทำให้ความเสี่ยงของการรับเชื้อโควิด-19 มีอยู่รายรอบทุกขณะของการปฏิบัติหน้าที่

จากข้อมูลทางวิชาการ พบว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับจากเดือน ม.ค. – พ.ย. 2564 มีจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทั่วประเทศ 1,600,918 ราย และยังมีจำนวนเหตุที่ได้รับแจ้งมากถึง 1,555,258 เหตุ ทำให้รวมแล้วบุคลากรการแพทย์ในห้องฉุกเฉินต้องปฏิบัติการกู้ชีพรวมกว่า 1,586,971 ปฏิบัติการด้วยกัน

ความกังวลนั้นไม่ใช่แค่ตัวของบุคลากรการแพทย์ที่จะต้องเสี่ยงรับเชื้อ แต่ยังหมายถึงการที่ต้องหยุดพักงาน และทำให้ต้องสูญเสียบุคลากรที่ดูแลรักษาชีวิตผู้ป่วยอีกหลายต่อหลายคนในช่วงเวลาหนึ่งไปด้วย

นักวิจัยเครือข่ายสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) นำโดย ดร.พัชร์วลีย์ นวลละออง และ นพ.ภคพล เอี่ยมไพบูลย์พันธ์ จึงได้ศึกษาวิจัยเรื่อง "การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตแพทย์และพยาบาลห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในเขตพื้นที่ EEC" โดยทุนสนับสนุนจาก สวรส.

สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ได้ทำให้เห็นภาพความต้องการ และข้อกังวลสำคัญของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินของทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งประเด็นสำคัญของการนำเสนอครั้งนี้ คือข้อค้นพบว่า การทำงานของแพทย์และพยาบาลห้องฉุกเฉินส่งผลทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวลและซึมเศร้า ส่งผลไปถึงการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยทีมนักวิจัยได้เสนอมาตรการจัดการที่แบ่งเป็น มาตรการระยะสั้น และระยะยาว

มาตรการระยะสั้น  ได้แก่ การจัดตารางเวรให้เหมาะสมกับงาน หากมีข้อจำกัดเรื่องอัตรากำลังจะทำให้มีปริมาณงานที่หนักที่ส่งผลต่อความเครียดสะสม เน้นการเสริมแรงทางบวก โดยการสื่อสารให้ทราบถึงความจำเป็นและขอความร่วมมือให้ร่วมแรงร่วมใจ จัดหาอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย (PPE) เพียงพอและมีคุณภาพ รวมทั้งองค์กรมีการกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันเมื่อเกิดวิกฤต สร้างระบบการทำงานที่ปลอดภัยตั้งแต่ก่อนรับผู้ป่วย ระหว่างรับ และภายหลังรับผู้ป่วยเพื่อรักษา เพื่อลดความกังวลใจทุกครั้งของการปฏิบัติหน้าที่

มาตรการระยะยาว ได้แก่ นโยบายการบริหารอัตรากำลังและการวางแผนอัตรากำลังที่เหมาะสมทันต่อสถานการณ์ มีการพยากรณ์อัตรากำลังตามอุปสงค์โดยใช้หลักการบริหารคาดการณ์ รวมไปถึงการสร้างความภาคภูมิใจในตนเองโดยทีมสามารถจัดการแก้ไขปัญหาหน้างานได้ลุล่วง องค์กรมีความเป็นธรรมในการพิจารณาให้ผลตอบแทนหรือรางวัล และสิ่งที่สำคัญอย่างมากคือ องค์กรต้องมีแผนในการบริหารจัดการอุปกรณ์ป้องกันเชื้อที่มีคุณภาพ นโยบายการบริหาร และการสนับสนุนขวัญและกำลังใจ รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการและการสื่อสารเชิงบวก ให้ความรู้เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับโรคระบาดเพื่อสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับปัญหาผู้ป่วยติดเชื้อ เป็นต้น

แน่นอนว่าข้อมูลจาการศึกษาครั้งนี้ จะถูกสังเคราะห์ออกมาเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตแพทย์และพยาบาล ซึ่งแต่ละโรงพยาบาลสามารถปรับใช้ให้สอดคล้องกับนโยบายและวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งผลการศึกษานี้ได้ถูกนำเสนอเบื้องต้นต่อ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง กระทั่งมีผู้สนใจทำการวิจัยเรื่องภาวะการหมดไฟของบุคลากรทางการแพทย์ในห้องฉุกเฉิน ซึ่งต้องยอมรับว่าแต่เดิมคนที่เครียดมากในช่วงแรกของการแพร่ระบาดคือประชาชน แต่หลังจากนั้นคนที่เครียดมากกว่าคือบุคลากรทางการแพทย์ และยังพบว่ามีการฆ่าตัวตายในบางกรณีด้วย ซึ่ง สธ.ติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกับภาวะความเครียดของบุคลากรทางการแพทย์

“งานวิจัยชิ้นนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อบุคลากร อีกทั้งในช่วงโควิด-19 ระบาด เราควรมีการรวบรวมงานวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทย และขอเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของห้องฉุกเฉิน ซึ่ง สธ.ให้ความสำคัญตลอดมา และหวังว่างานวิจัยชิ้นนี้จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบุคลากรทางการแพทย์ของเราต่อไปในอนาคต” นายสาธิต ระบุ

ภายหลังการนำเสนอความคืบหน้าของการวิจัย นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวเสริมว่า  เชื้อไวรัสโควิด-19 มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นมหาวิกฤติทางสาธารณสุขระดับโลก ซึ่งผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก และตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยการติดเชื้อของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล และบุคลากรการแพทย์ไม่เพียงพอ

ขณะเดียวกันผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าทั้งแพทย์และพยาบาลในห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับเชื้อโรคได้ง่าย ทั้งขั้นตอนกระบวนการทำงานที่สลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน เกิดภาวะความบีบคั้นทางใจ เกิดความเครียด เหนื่อยล้า ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จึงมีความจำเป็นต้องสร้างมาตรการเฉพาะเจาะจงเพื่อป้องกันคุ้มครองแพทย์และพยาบาลห้องฉุกเฉินให้เกิดความมั่นใจ โดยให้มีแผนการผลิตบุคลากรที่เพียงพอ พร้อมกับพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีกว่าเดิม เพื่อให้ผู้ป่วยหรือผู้รับบริการมีความมั่นใจในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ

“สวรส.ได้พัฒนางานวิจัยที่สำคัญๆ ในเชิงคลินิกที่เกี่ยวกับเรื่องของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตยารักษา วัคซีน เรื่องของการใช้พลาสมา จนไปถึงการเข้าถึงระบบบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยหนึ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไปกับงานวิจัยเชิงคลินิกนั้น ก็คือการไม่มองข้ามปัญหาและอุปสรรคของบุคลากรด่านหน้าที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ เพื่อค้นหาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตแพทย์และพยาบาลห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในเขตพื้นที่ EEC ตลอดจนพื้นที่อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมนักวิจัยกำลังดำเนินการ โดยจะได้นำไปสู่ข้อเสนอ แนวทางหรือรูปแบบที่จะสามารถนำไปปฏิบัติและพัฒนาระบบสุขภาพในภาพรวมได้ต่อไป” นพ.นพพร กล่าว