ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สำนักข่าววอชิงตันโพสท์ได้รายงาน เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2564 ตอนหนึ่งว่า องค์การอาหารและยาสหรัฐ (United States Food and Drug AdministrationFDA) ได้ทำการอนุมัติยาเม็ดสำหรับใช้รักษาอาการป่วยจากโควิด-19 “โมนุลพิราเวียร์” ที่ผลิตโดย Merck เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับการรักษาอยู่ที่บ้านและลดภาระของโรงพยาบาล

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มจะให้ความเห็นว่าโมนุลพิราเวียร์สามารถเป็นทางเลือกที่ดีต่อการรักษาอาการติดเชื้อจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มก็แสดงความเห็นว่าอาจจะเร็วเกินไปที่จะเริ่มใช้ยาเม็ดในการรักษาโควิด-19

การอนุมัติครั้งนี้ของ FDA จะเป็นแนวทางการรักษา 5 วัน สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 18 ปีและมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นผู้ป่วยที่ไม่สามารถจะรักษาหรือเข้าถึงการรักษาด้วยวิธีการที่ FDA กำหนดไว้ให้ได้ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้ป่วยนั้นจะได้รับการรักษาแบบใดตามอาการที่เกิดขึ้น และการอนุมัติครั้งนี้ของ FDA ก็สอดคล้องกับสภาวะขาดแคลนยาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ปัจจุบัน การรักษาด้วย monoclonal antibody treatment ที่มีประสิทธิภาพที่สุดกำลังขาดแคลนเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมากจนต้องใช้วิธีการผสมตัวยาอื่นขึ้นมาทดแทน ยาเม็ดแอนตี้ไวรัลของไฟเซอร์ที่ได้รับการอนุมัติไปเมื่อต้นสัปดาห์ก็มีอย่างจำนวนจำกัด และยาก็ไม่ได้เหมาะที่ใช้กับผู้ป่วยทุกคน อย่างไรก็ตาม งานศึกษาล่าสุดพบว่าการรักษาด้วยเรมเดซิเวียร์เป็นเวลาสามวันสามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถรักษาตัวนอกโรงพยาบาลได้

“ความเคลื่อนไหวของ FDA ในสัปดาห์นี้เป็นก้าวย่างที่สำคัญในการต่อสู้กับโควิด-19 และแสดงให้เห็นว่า FDA ขยายทางเลือกในการรักษาให้กับสาธารณชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” แพทริเซีย คาวาซโซนี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและประเมินเวชภัณฑ์ของ FDA กล่าว

เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างโมนุลพิราเวียร์ที่คิดค้นโดย Merck และ Ridgeback Biotherapeutics กับ แอนตี้ไวรัล ของไฟเซอร์ จะพบว่า โมนุลพิราเวียร์สามารถลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสียชีวิตในผู้ป่วยลงได้ 30% เมื่อได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน ในขณะที่ แอนตี้ไวรัลนั้นมีประสิทธิภาพในการลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตลงได้ถึง 88% เมื่อได้รับยาในระยะเวลาเท่ากัน

หลักการทำงานของโมนุลพิราเวียร์ คือการที่ตัวยาจะเข้าไปทำให้ไวรัสในร่างกายกลายพันธุ์ ซึ่งการกลายพันธุ์นั้นจะส่งผลให้ตัวไวรัสถูกรบกวนและเสื่อมความสามารถในการขยายตัว

ดีน วาย ลี ประธานศูนย์วิจัยของ Merck ระบุว่า ยาของ Merck ได้เปรียบตรงที่ผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องกังวลถึงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นและไม่มีผลกระทบต่อยาเดิมที่ใช้อยู่ก่อนหน้า ยาโมนุลพิราเวียร์ไม่มีผลข้างเคียงต่อการทำงานของตับและไต ในขณะเดียวกัน ยาของไฟเซอร์มักจะมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีต่อยาอื่นๆ ที่ผู้ป่วยใช้อยู่ และยังอันตรายเป็นอย่างมากต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไตอีกด้วย

ทว่า แม้ดูเหมือนมีผลข้างเคียงน้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยก็แสดงความกังวลถึงความเป็นไปได้ที่โมนุลพิราเวียร์จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ที่อันตรายในตัวมนุษย์ แม้ FDA จะตรวจสอบและให้ข้อสรุปแล้วว่า ความเสี่ยงที่กังวลกันนั้นมีต่ำมาก

การอนุมัติครั้งนี้ของ FDA มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย ระหว่างการพิจารณาในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายในคณะกรรมการของ FDA ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติโมนุลพิราเวียร์ได้แบ่งออกเป็นฟากที่เห็นสมควรให้ใช้เพราะมันมีประสิทธิภาพดี อีกฝั่งหนึ่งก็คัดค้านอย่างหนักเพราะวิตกกังวลถึงหลักการทำงานของยาที่มีความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์เป็นโควิด-19 “สายพันธุ์ใหม่”

“การที่ FDA อนุมัติให้ใช้โมนุลพิราเวียร์เป็นเรื่องที่เลวร้ายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ มันจะเป็นการส่งผลให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นในมนุษย์อย่างแน่นอน” ไมเคิล ซี ลิน นักชีวเคมีจากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ระบุ

ในขณะนี้ Merck จะทำการส่งยาโมนุลพิราเวียร์กว่า 1 ล้านชุดให้เข้าสู่ระบบการรักษาภายในสองสัปดาห์ที่จะถึงข้างหน้า และจะกลายเป็นยาที่มีใช้ในคลังมากที่สุดเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมในการรับมือกับการระบาดของโอมิครอนที่มีความเป็นไปได้ที่จะพุ่งสูงขึ้นอีก ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น รัฐบาลสหราชอาณาจักรก็ได้ทำการสั่งซื้อยานี้เช่นเดียวกันหลังจากที่โอมิครอนได้ระบาดภายในประเทศเป็นอย่างหนัก

โมนุลพิราเวียร์ได้รับคำแนะนำในการใช้ว่าไม่ควรที่จะใช้ในผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือชายและหญิงที่วางแผนจะมีบุตร โดยเพศชายต้องคุมกำเนิดเป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากรับยาครั้งสุดท้าย นี่ยังรวมถึงเหตุที่ผู้ใช้ยานี้ต้องอายุ18ปีขึ้นไปก็เพราะว่า ผลข้างเคียงหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือ ยาโมนุลพิราเวียร์อาจจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและกระดูกอ่อนได้

“ถึง 30% ของโมนุลพิราเวียร์จะน้อยกว่า 88% ของไฟเซอร์ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะเป็น 0 อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือวางแผนจะมีบุตรไม่ควรที่จะรับยาโมนุลพิราเวียร์” เดวิด โบแวร์ แพทย์ด้านโรคติดเชื้อจาก University of Minnesota Medical School กล่าว

อ้างอิง
https://www.washingtonpost.com/health/2021/12/23/merck-covid-pill-fda-authorized/