ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่ “รายงานการติดตามผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ” จากโควิด-19 ในประเทศไทย โดยพบครัวเรือนถึง 70-80% ของกลุ่มตัวอย่างมีรายได้ลดลง ธุรกิจกว่า 50% รายได้หายไปกว่าครึ่ง ขณะเดียวกัน ระยะเวลาเพียงปีเดียว มีผู้ขอรับประโยชน์จากสวัสดิการสังคมเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า

การตามติดผลกระทบของโควิด-19 ในประเทศไทย

ประเทศไทยคือประเทศที่ 2 ที่มีรายงานเคสผู้ป่วยโควิด-19 ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 โดยรัฐบาลไทยสามารถควบคุมและตรึงให้ผู้ป่วยโควิด-19 มีจํานวนน้อยจนถึงเดือนกันยายนปีเดียวกัน เนื่องด้วยประกาศใช้มาตรการควบคุมได้อย่างทันท่วงที และกลยุทธ์ติดตามผู้สัมผัสที่มีประสิทธิภาพ

ทว่าแม้มาตรการของรัฐบาลจะช่วยชะลอการระบาดของโรคในประเทศไทยได้เป็นผลสําเร็จ มาตรการเหล่านี้ก็ส่งผลให้ประชาชนหลายครอบครัวต้องออกจากงาน สูญเสียรายได้ ปิดกิจการ และปราศจากความมั่นคงทางอาหาร เด็กจำนวนมากมีการศึกษาที่ขาดตอนด้วยเช่นกัน

ซ้ำร้าย การระบาดระลอกต่อมา รวมถึงเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นถือเป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวง เมื่อจํานวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มเป็นวันละมากกว่า 2,000 เคสในเดือนพฤษภาคม ปี 2564 และนําไปสู่มาตรการควบคุมใหม่ที่กวดขันยิ่งกว่าเดิม เพื่อติดตามผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจของการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย

ธนาคารโลกได้ออกเงินทุน สนับสนุนแกลลัพโพล (Gallup Poll) ให้ดําเนินการสํารวจทางโทรศัพท์อย่างรวดเร็วตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2564 โดยสัมภาษณ์ประชาชนที่มีอายุเกิน 18 ปี จํานวนประมาณ 2,000 คน ครอบคลุมประเด็นดังต่อไปนี้

การจ้างงาน แหล่งที่มาของรายได้ครัวเรือน การเข้าถึงอาหารและความมั่นคงทางอาหาร การคุ้มครองทางสังคมและกลไก การรับมือ การเข้าถึงการศึกษา การเข้าถึงบริการสุขภาพและวัคซีนป้องกันโควิด-19

ทั้งนี้ มีข้อค้นพบสำคัญดังนี้

ประเด็นการจ้างงาน

การจ้างงานระดับชาติมีอัตราคงที่อยู่ที่ร้อยละ 68 ระหว่างเดือน มี.ค. - มิ.ย. 2564 ทว่าอัตราดังกล่าว แตกต่างออกไปตามภูมิภาคและกลุ่มประชากร กล่าวคือแถบพื้นที่เมืองและเมืองหลวงมีอัตราการจ้างงานลดลง ร้อยละ 8 ในขณะที่แถบพื้นที่ชนบทและภาคเหนือมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เนื่องจากคนจํานวนมากที่ต้องออกจากงาน เพราะสถานการณ์โรคระบาดหวนกลับไปประกอบอาชีพเกษตรกรในชนบท โดยรวม

ผู้ตอบการสํารวจกว่าร้อยละ 50 ได้รับผลกระทบด้านการงาน บางคนต้องออกจากงาน หยุดงานชั่วคราว ถูกลดชั่วโมงทํางานหรือได้รับค่าตอบแทนที่น้อยลง

ประเด็นรายได้ครัวเรือน

ที่ให้สัมภาษณ์กว่าร้อยละ 70 มีรายได้ลดลงตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ครัวเรือนในแถบพื้นที่ชนบท ภาคใต้ และกลุ่มที่มีรายได้ต่ำประมาณร้อยละ 80 มีรายได้ลดลง การทําเกษตรกรรมและประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่เกษตรกรรรมได้รับผลกระทบอย่างมากจากรายได้ที่ลดลง โดยประมาณร้อยละ 50 มีรายได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง - ครัวเรือนในแถบพื้นที่ภาคใต้และกลุ่มที่มีรายได้ต่ำคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่มีรายได้ลดลงมากที่สุด

ประเด็นความมั่นคงทางอาหาร

ครัวเรือนจํานวนมากรายงานว่าขาดแคลนอาหาร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ในหมู่ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และครัวเรือนที่มีเด็ก ครัวเรือนใช้กลไกรับมือหลายตัวในช่วงวิกฤต โดยกลไกที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดคือการลดปริมาณการบริโภคอาหาร และสิ่งอื่นๆ การพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐบาล การหันไปใช้เงินออม การหารายได้เสริมจากช่องทางอื่นประกอบ

ประเด็นความคุ้มครองทางสังคม

ครัวเรือนกว่าร้อยละ 80 ได้ประโยชน์จากโครงการช่วยเหลือในสภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลที่ริเริ่มในปี 2563 โดยคิดเป็นสัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และผู้ที่มีรายได้ปรับลดลงอย่างรุนแรงประมาณร้อยละ 90 - สัดส่วนผู้ขอรับประโยชน์จากสวัสดิการสังคมในปี 2563 เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึงเกือบสองเท่า

ประเด็นด้านการศึกษา

ครัวเรือนประมาณร้อยละ 90 มีเด็กอายุ 6-17 ปีที่เข้าศึกษาในภาคเรียนที่ผ่านมา สัดส่วนนี้น้อยลงในหมู่ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ (ร้อยละ 86) เมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่า (ร้อยละ 96)

เด็กกว่าครึ่งหนึ่งเข้าศึกษาในลักษณะผสม (ทั้งแบบพบกันในชั้นเรียนและเรียนทางไกล) และอัตราหนึ่งในสี่เข้าศึกษาแบบพบกันในชั้นเรียนเท่านั้น ผู้ตอบการสํารวจประมาณร้อยละ 57 บ่งชี้ว่าเด็กในครัวเรือนประสบกับปัญหาด้านการเรียน เด็กในพื้นที่ชนบท และครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำมีแนวโน้มว่าจะมีอุปสรรคด้านการเข้าถึงอุปกรณ์ในการเรียนสูงกว่า

ประเด็นด้านสุขภาพ

ครัวเรือนประมาณ 1 ใน 3 ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ไม่สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้ เนื่องจากกังวลว่าจะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ประชาชนส่วนใหญ่ทราบดีว่าวัคซีนมีพร้อมให้บริการหรือไม่ สามารถเข้ารับที่ใดบ้างผ่านทางสื่อและสื่อสังคมต่างๆ เป็นส่วนใหญ่

ณ เวลาที่ดําเนินการทําการสํารวจนี้ ความกังวลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทําให้ ประชาชนลังเลไม่กล้าฉีดวัคซีน กลุ่มที่มีการศึกษาไม่สูง มีรายได้ต่ำ และกลุ่มเยาวชนกว่าร้อยละ 36 ไม่มีแผนจะเข้ารับการฉีดวัคซีน

การสํารวจนี้ให้ภาพรวมถึงผลกระทบต่อการจ้างงาน รายได้ ความมั่นคงทางอาหาร กลไกการรับมือ การศึกษา และสุขภาพ ขณะเกิดการระบาดของโควิด-19 ในระดับภาคประชาชนตามเวลาจริง

ดังนั้น การติดตามผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ ด้วยการดําเนินการสํารวจต่อไปในอนาคตจึงเป็นสิ่งจําเป็น เพื่อนําไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางนโยบายและโครงการ ฟื้นฟูครัวเรือนในประเทศไทยทางเศรษฐกิจที่นับรวมทุกกลุ่มคน