การถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นั้น กำลังจะเดินเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว แน่นอนว่าการกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยเฉพาะทิศทางการบริหาร รพ.สต. จากบ้านหลังใหม่อย่าง อบจ. ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2566 สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) จึงร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย สมาคมหมออนามัย และชมรมผู้อำนวยการ รพ.สต. (ประเทศไทย) จัดการสัมมนาในหัวข้อ “สู่สุขภาวะครบส่วนและถ้วนหน้า: ด้วยหมุดหมายสุขภาพปฐมภูมิ” ภายใต้ “โครงการวิจัยประเมินผลนโยบายการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปสู่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)” ที่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก สวรส.
สำหรับหนึ่งในไฮไลท์สำคัญ คือ การสัมมนาโต๊ะกลมภายใต้หัวข้อ “แนวทางการขับเคลื่อนระบบสุขภาพปฐมภูมิ สู่หมุดหมายสุขภาวะประชาชนอย่างครบส่วนถ้วนหน้า” โดยเป็นการระดมความเห็นจากภาคีเครือข่ายที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพปฐมภูมิ บนจุดมุ่งหมายในการให้บริการปฐมภูมิเป็นไปอย่าง ‘ครบส่วน’ และ ‘ถ้วนหน้า’
นพ.โกเมนทร์ ทิวทอง รองผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ความหมายของบริการสุขภาพปฐมภูมิซึ่งเป็นภารกิจหลักของ รพ.สต. เปลี่ยนไป และมีการดำเนินงานที่หลากหลายมากขึ้น จากเดิมคือการให้บริการพื้นฐาน แต่ในขณะนี้มีการดูแลรายครอบครัว หรือการดูแลเรื่องโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ด้วย ฉะนั้นการทำงานให้ ‘ครบส่วนถ้วนหน้า’ จึงยังเป็นความท้าทาย
นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคที่ทำให้การบรรลุเป้าหมายเป็นไปได้ยากด้วย เช่น บุคลากรถ่ายโอนยังมาไม่ครบทีม แม้จะมีนักวิชาการสาธารณสุข พยาบาลวิชาชีพ แต่ยังขาดบางส่วนที่จะเข้ามาเติมในส่วนของงานปฐมภูมิ ฉะนั้นในการทำงานปฐมภูมิของ รพ.สต. อาจยังขาดโรงพยาบาลพี่เลี้ยง รวมถึงวิชาชีพที่มีความหลากหลายไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเวลานี้ก็เริ่มเห็นแล้วว่าสภาวิชาชีพต่างๆ เริ่มเข้ามาสนใจ และให้การสนับสนุนมากขึ้น
อย่างไรก็ดี งานปฐมภูมิมีหลักอยู่ 3 อย่างที่ พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 ไม่ได้เขียนไว้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ นั่นก็คือ การดูแลต้องดีขึ้น พัฒนาสุขภาพภายใต้กำลังความสามารถทีมงานที่มี และควบคุมงบประมาณเพื่อให้เกิดสุขภาพที่ดีได้
นายเลอพงศ์ ลิ้มรัตน์ ประธานคณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนด้านสาธารณสุขแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระบุว่า เจตนารมณ์ของการเขียนคู่มือการถ่ายโอนฯ คือต้องการเห็นประชาชนได้รับบริการที่ดี สอดคล้องกับบริบทปัญหาของแต่ละพื้นที่ที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นหลักการกระจายอำนาจคือให้คนในพื้นที่คิดและแก้ปัญหาเองทั้งเรื่องปัญหาสุขภาพ หรือสาธารณูปโภค เป็นต้น
รวมถึงหลักตามเจตนารมณ์ที่คิดเอาไว้ มองว่าภารกิจของการถ่ายโอน รพ.สต. ไปยัง อบจ. เพื่อส่งเสริม สนับสนุน ป้องกัน และฟื้นฟู หากมีการบริหารจัดการที่ดีก็จะส่งผลให้ประชาชนไม่ต้องไปแออัดอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนที่ผ่านมา
“เรามองว่าถ้าประสิทธิภาพการดูแลประชาชนใน รพ.สต. ได้ผล ก็จะส่งผลให้รัฐไม่ต้องจ่ายเงินเยอะ ซึ่งก็มองว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ฉะนั้นก็อยากให้มีการบูรณาการร่วมกัน หากติดขัดตรงไหนก็ช่วยกันแก้ งบประมาณจากภาษีประชาชนควรต้องเอาไปทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายเลอพงศ์ กล่าว
ด้าน นายสมดี คชายั่งยืน ผู้แทนคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) บอกว่า ในฐานะที่เคยเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่น (สถ.) พบว่าการถ่ายโอน รพ.สต. นั้นยังมีเรื่องติดขัดทั้งเรื่องงานและเรื่องเงิน ยกตัวอย่างกรณีภารที่เมื่อถ่ายโอนไปแล้วมีเงินตามมา เช่น ชลประทาน งานโยธา หรืองานที่เกี่ยวกับระบบ ทะเบียนราษฎร ฯลฯ จะมีงบประมาณด้านการบริหารงานบุคคลตามไปด้วย แต่ในการถ่ายโอน รพ.สต. ครั้งนี้ อบจ. อาจจะยังต้องใช้เงินตัวเองในการบริหารจัดการ
ดังนั้น สำนักงบประมาณจะต้องจัดสรรเงินสำหรับบุคลากรตามโครงสร้างกรอบอัตรากำลัง S, M, และ L ตามกรอบที่ สธ. เคยกำหนดไว้ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวแก่ อบจ. ได้ เนื่องจากยังมีส่วนที่เงินบำเหน็จ บำนาญที่จะตามมาอีกด้วย
นายเอกรินทร์ โปตะเวช ผู้แทนสมาคมหมออนามัย และอุปนายกสมาคมฯ คนที่ 1 กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ได้เห็นในแต่ละจังหวัดนั้น พบว่าการถ่ายโอน รพ.สต. ไป อบจ. มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป โดยส่วนที่ดีจะเป็นความก้าวหน้าทางวิชาชีพของบุคลกรที่ถ่ายโอน ขณะเดียวกันก็ยังมีปัญหาเรื่องระเบียบ รวมถึงค่าตอบแทนที่ตอนนี้ก็ยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ เช่น เงิน ฉ.11 (ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้หน่วยบริการ) ซึ่งจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในแง่ของขวัญและกำลังใจ
ขณะที่ นายสมศักดิ์ จึงตระกูล ประธานชมรมผู้อำนวยการ รพ.สต. (ประเทศไทย) กล่าวว่า งานวิจัยเป็นส่วนที่สะท้อนได้หลายอย่างทั้งการต่อยอด หรือการพัฒนาระบบปฐมภูมิ หากทุกภาคส่วนทำตามภายใต้คู่มือการถ่ายโอนภารกิจฯ และมีทัศนคติที่ดีก็จะไม่มีอุปสรรค ทว่าที่ผ่านมาก็ยังไม่เป็นไปตามนั้น ทำให้การเดินต่อไปข้างหน้าที่แม้จะมีส่วนที่ดี แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังสะดุด เช่น เรื่องการสนับสนุนงบประมาณตามขนาดโครงสร้าง S, M และ L ที่ขณะนั้นตั้งเป้าไว้ว่าจัดจัดสรรให้ 1 ล้านบาท 1.5 ล้านบาท และ 2 ล้านบาท เพราะเห็นว่าเมื่อมีการถ่ายโอนมาแล้วภารกิจของ รพ.สต. ที่มาอยู่กับ อบจ. นั้นมีมากขึ้น และส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็นการบำรุง รักษาลูกจ้างที่จะมีผลสัมพันธ์กัน
อย่างไรก็ดี จากงบประมาณที่ตั้งดังกล่าว กลับกลายมาเป็น 4 แสนบาท 6.5 แสนบาท และ 1 ล้านบาท ซึ่งหากไม่มีงบประมาณดังกล่าวอาจจะทำให้ รพ.สต. บางแห่งอยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะ รพ.สต. ขนาดเล็ก เพราะนอกเหนือจากการให้บริการ หรือภารกิจที่จะดูแลประชาชนแล้วนั้น ยังมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เช่น ค่าไฟ หรือค่าลูกจ้างที่มีอัตราเทียบเท่ากันกับหลาย รพ.สต.
“ยังมีเรื่องของบุคลากรบางกลุ่ม เช่น แพทย์แผนไทย พยาบาล หรือแม้กระทั่งพนักงานธุรการที่ยังไม่ได้บรรจุ ซึ่งจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมี FastTrack กรณีพิเศษในกรอบที่มีอยู่แล้ว” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายกิตติชัย เอ่งฉ้วน รองนายก อบจ.กระบี่ และผู้แทนสมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ให้ภาพว่า การถ่ายโอน รพ.สต. ทำให้ อบจ. มีโอกาสได้ดูแลด้านสาธารณสุข หรือสุขภาพของประชาชนได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นนิมิตรหมายอันดีที่การถ่ายโอนครั้งนี้มอบมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่อยู่ใกล้ชิดเข้ามาดูแล ฉะนั้นการเดินหน้าก็จะเดินต่อไปเท่าที่ทำได้
ขณะเดียวกัน หลังจากการถ่ายโอนภารกิจฯ อบจ. หลายแห่งเรียนรู้มากขึ้น และเมื่อเริ่มตั้งหลักได้ก็เริ่มทำงานเชิงรุก เริ่มมีการนำระบบไอที ตลอดจนการพยายามวิเคราะห์ปัญหาที่ยังเป็นจุดบอดให้การให้บริการประชาชนและพยายามเข้าไปเติมเต็มในส่วนนั้น เช่น การทอดผ้าเพื่อนำเงินมาจ้างบุคลากรทางการแพทย์สำหรับดูแลประชาชนในพื้นที่ เป็นอาทิ
อย่างไรก็ดี หากทุกส่วนราชการสามารถทำตามประกาศของคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) นั้นเชื่อได้ว่าปัญหาจะไม่เกิด เพราะหลังจาการการถ่ายโอน รพ.สต. มาได้ประมาณ 1 ปี ก็ยังมีปัญหา เช่น การแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้อง ปัญหาบุคลากร บุคลากรในกองสาธารณสุข อบจ. ที่ขณะนี้ยังมีบางจังหวัดที่ยังไม่มีผู้อำนวยการกองสาธารณสุข รวมถึงงบประมาณอีกด้วย
- 472 views