ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

โรคมะเร็ง ยังคงเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่คร่าชีวิตคนไทยในแต่ละปีมากที่สุด โดยข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่า แต่ละปีไทยจะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่กว่า 1.4 แสนคน หรือคิดเป็นประมาณ 400 คนต่อวัน

โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรกในคนไทย ประกอบด้วย มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปากมดลูก

แม้ว่าโรคมะเร็งจะน่ากลัว แต่หากตรวจพบเร็วและได้รับการรักษาที่เหมาะสมก็มีโอกาสรอดชีวิตได้สูง

การเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งของคนไทย ในปัจจุบันมีโครงการ 'Cancer Anywhere หรือ มะเร็งรักษาได้ทุกที่' ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีสิทธิบัตรทองสามารถเข้าถึงการรักษาได้ในทุกโรงพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนรักษาโรคมะเร็งกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสิทธิ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความสะดวก และสามารถเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วขึ้น

4

นพ.ศุภกร พิทักษ์การกุล รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ สะท้อนความเห็นถึงโครงการ 'Cancer Anywhere มะเร็งรักษาได้ทุกที่' หลังดำเนินการมา 2 ปีกว่า โดยให้ภาพว่า ตั้งแต่ที่เริ่มโครงการในวันที่ 1 ม.ค.2564 พบว่าจำนวนการให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) มีเพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่เคยรักษาโรคมะเร็ง แต่ไม่ได้ใช้สิทธิบัตรทองของตัวเอง หันมาใช้สิทธิบัตรทองในโครงการมะเร็งรักษาได้ทุกที่มากขึ้น เพราะเกิดความสะดวกในการรับบริการ และสามารถทำให้เข้าถึงการรักษาได้รวดเร็ว

"จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผลลัพธ์การเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเปรียบเทียบก่อนและหลังมีโครงการ Cancer Anywhere เราพบว่าการเข้าถึงการผ่าตัด การรับยาเคมีบำบัด และการฉายรังสีรักษา ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษาได้ดีขึ้นตามลำดับ ในปี 2564-2565 หลังที่มีโครงการ" นพ.ศุภกร ย้ำ  

2

รองผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งฯ สะท้อนด้วยว่า โครงการ Cancer Anywhere เข้าไปช่วยทำประโยชน์ให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง และตรงกับเป้าหมายนโยบายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ต้องการให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษากับโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเหมาะสม และสามารถรับบริการได้สะดวกโดยเร็วที่สุด
เพราะแต่เดิม ผู้ป่วยโรคมะเร็งสิทธิบัตรทองที่ต้องรักษาตัว จะต้องให้โรงพยาบาลที่ผู้ป่วยมีสิทธิอยู่แต่อาจไม่มีศักยภาพพอที่จะรักษาได้ ต้องส่งตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า หรือโรงพยาบาลที่พร้อมรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ ขณะที่โครงการ Cancer Anywhere จะทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนรักษาโรคมะเร็งกับ สปสช.ได้ทุกแห่ง โดยไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลต้นทางเพื่อขอใบส่งตัว

"จุดเด่นของโครงการ คือเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้ป่วยให้ได้รับความสะดวกในการเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งมากขึ้น หากผู้ป่วยใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่นได้ ไปโรงพยาบาลที่มีความพร้อมและสามารถรักษามะเร็งอย่างต่อเนื่องได้เลย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่ต้องทำงานต่างถิ่น หรือต่างจังหวัด ที่ต้องเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ซึ่งแต่ก่อนเมื่อป่วยก็ต้องกลับไปเริ่มต้นรักษาตัวที่โรงพยาบาลต้นทางที่ต่างจังหวัด แต่นโยบายนี้จะทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ทุกที่เลย" รองผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งฯ สะท้อนความเห็นถึงโครงการ Cancer Anywhere

2

นพ.ศุภกร บอกด้วยว่า ที่ผ่านมาสปสช.ได้ปรับรูปแบบการเบิกจ่ายค่าบริการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในสิทธิบัตรทองใหม่ โดยให้โรงพยาบาลที่ทำการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแม้จะไม่ใช่โรงพยาบาลต้นสิทธิของผู้ป่วย สามารถเบิกจ่ายค่าบริการได้กับสปสช.โดยตรง โดยไม่ต้องเรียกเก็บค่ารักษากลับไปยังโรงพยาบาลต้นสิทธิเหมือนเช่นเดิม ช่วยให้มีความสะดวกในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น

ขณะเดียวกัน สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ยังพัฒนาให้มีเครือข่ายผู้ประสานงานด้านโรคมะเร็ง (Cancer Coordinator) ให้มีอยู่ในทุกเขตบริการสุขภาพทั้ง 13 เขตทั่วประเทศ เพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์โครงการ Cancer Anywhere ให้กับผู้ป่วยได้มีความเข้าใจ พร้อมทั้งยังทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกันระหว่างโรงพยาบาล เพื่อคอยตรวจสอบ 'คิวว่าง' สำหรับการรักษามะเร็งในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพต่างๆ เพื่อคอยแนะนำให้กับผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาที่รวดเร็ว

3

"สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ยังมีการออกแบบนโยบาย และพัฒนาระบบเครื่องมือ เพื่อรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลด้วยกันเอง พร้อมกับพัฒนาแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนผู้ป่วย เพื่อคืนข้อมูลการรักษาให้กับผู้ป่วยได้ติดตามการรักษาของตัวเอง" นพ.ศุภกร ย้ำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงการ Cancer Anywhere จะทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับประโยชน์ในแง่การเข้าถึงบริการรักษาที่สะดวก รวดเร็ว แต่ในมุมของผู้ให้บริการรักษา นพ.ศุภกร ให้ภาพว่า ยังเจอปัญหาโครงการนี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะการสื่อสารนโยบายอย่างทั่วถึง รวมไปถึงระบบมาตรฐานของข้อมูลด้านการรักษาผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยกันที่มีหลายระบบ ทำให้การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลไม่ต่อเนื่อง หน้างานต้องมีการลงข้อมูลซ้ำซ้อน เป็นการเพิ่มภาระกับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งในอนาคตอยากจะให้มีการจัดระบบฐานข้อมูลให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

4

กระนั้นก็ตาม จากการสำรวจความพึงพอใจของผู้ป่วยโรคมะเร็ง รวมถึงผู้ให้บริการ พบว่ามีระดับความพึงพอใจในระดับที่ดี โดยเฉพาะการได้รับการรักษาที่สะดวก และรวดเร็ว อีกทั้งยังทำให้การรักษามีความต่อเนื่อง

รองผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ยังฉายภาพเป้าหมายในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มากขึ้นซึ่งในปี 2566 จะมีการผลักดันรูปแบบบริการรักษาโรคมะเร็งในลักษณะ Cancer Anywhere นี้ เพื่อนำเสนอกองทุนประกันสังคมพิจารณาในโอกาสต่อไป

"สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ มีความตั้งใจที่จะทำให้การบริการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมีความทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนไทยทั้งประเทศ ขณะเดียวกัน ก็จะมีการเสนอสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ในการรักษาโรคมะเร็งมากขึ้น โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการและงานวิจัยต่างๆ ที่ออกมาด้วย" นพ.ศุภกร กล่าวตอนท้าย