ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ม.มหิดล-ออกซ์ฟอร์ด-ภาคีเครือข่าย จับมือสร้างเครื่องมือแกะรอยเท้ายาปฏิชีวนะ สร้างความตระหนักเรื่องการใช้ยาทั้งคนและสัตว์ หวังช่วยโลกพ้นวิกฤติ “เชื้อดื้อยา”


รศ.ดร.นพ.ดิเรก ลิ้มมธุรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาสุขวิทยาเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้วิจัยหลัก "รอยเท้ายาปฏิชีวนะ" (Antibiotic Footprint) แห่งหน่วยวิจัยโรคเขตร้อนมหิดล-ออกซ์ฟอร์ด (Mahidol-Oxford Tropical Medicine Research Unit; MORU) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการวิจัยซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ม.ออกซ์ฟอร์ด และสมาคมยาต้านจุลชีพและเคมีบำบัดประเทศอังกฤษ (British Society of Antimicrobial Chemotherapy) ร่วมกับภาคีระดับโลกที่มีคณะทำงานประจำประเทศไทย ได้แก่ มูลนิธิเพื่อสันติภาพเขียวประเทศไทย (Greenpeace Thailand) และองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกประเทศไทย (World Animal Protection Thailand) 

สำหรับผลงานนวัตกรรมระดับโลกของทีมวิจัยที่ผ่านมา ได้แก่ การสร้างฐานข้อมูลรอยเท้าการใช้ยาปฏิชีวนะทาง ในภาษาอังกฤษ (https://www.antibioticfootprint.net) เพื่อเป็นสื่อให้คนทั่วไป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และผู้กำหนดนโยบายเริ่มตระหนักรู้ว่าประเทศตนเองอาจมีการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปหรือไม่ โดยการเปรียบเทียบปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะทั้งในมนุษย์และในสัตว์ของประเทศตนเองกับของประเทศอื่นๆ

อีกทั้งสามารถกระตุ้นให้เกิดการสอบถามกับผู้กำหนดนโยบาย ในประเทศที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการใช้ยาปฏิชีวนะในมนุษย์หรือในสัตว์

อย่างไรก็ดี ล่าสุดทีมนักวิจัยได้ขยายผลต่อยอดสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือวัดรอยเท้าการใช้ยาปฏิชีวนะรายบุคคล "Antibiotic Footprint Calculator" (https://www.antibioticfootprint.net/calculator/th) ในภาษาอังกฤษ และภาษาไทย เพื่อประโยชน์สำหรับคนทั่วไปและคนไทย โดยผู้ใช้สามารถประมาณปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะที่เกิดจากการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล ทั้งจากการรับประทานยาปฏิชีวนะโดยตรง และการรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะสัตว์มีการใช้ยาปฏิชีวนะในระหว่างการเลี้ยง จากนั้นผู้ใช้จะสามารถเปรียบเทียบรอยเท้ายาปฏิชีวนะของตนเองกับของบุคคลอื่นๆ ทั่วโลกได้

จากการศึกษาต่างๆ พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่ายาปฏิชีวนะ คือ ยาที่สามารถฆ่า หรือหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น และยาปฏิชีวนะไม่สามารถฆ่า หรือหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสได้ ซึ่งหากใช้ไม่เหมาะสม เช่น นำยาปฏิชีวนะไปใช้ในการรักษาอาการไข้หวัด เจ็บคอ หรือ ท้องเสีย จะก่อให้เกิดเชื้อดื้อยาซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียตามมาอีกมากมาย เช่น นำไปสู่การเจ็บป่วยที่รักษายากรักษาไม่หาย นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ

รศ.ดร.นพ.ดิเรก กล่าวว่า ยาปฏิชีวนะที่มักถูกนำไปใช้โดยไม่ถูกต้อง คือ การทานยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการหวัด เช่น การรับประทานยาอะม็อกซีซิลลิน (Amoxycillin) อิริโทรไมซิน (Erythromycin) แอมพิซิลลิน (Ampicillin) หรือยาปฏิชีวนะอื่นๆ เมื่อมีไข้ ไอ หรือ เจ็บคอ ส่วนอีกกรณีที่พบบ่อยที่ไม่ถูกต้อง คือ การทานยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการท้องเสีย เช่น การรับประทานยานอร์ฟลอกซาซิน (Norfloxacin) หรือยาปฏิชีวนะอื่นๆ เมื่อมีอาการท้องเสียถ่ายเหลว โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งการจะรับประทานยาปฏิชีวนะ ควรได้รับการวินิจฉัยยืนยันจากแพทย์ หรือผู้ให้บริการทางสาธารณสุขอย่างเหมาะสมเท่านั้น

“เราไม่ควรรับประทานยาปฏิชีวนะด้วยตนเอง หรือเรียกหายาปฏิชีวนะ เพียงเพราะกินกันไว้ก่อน หรือเชื่อว่ากินแล้วจะหายเร็วขึ้น เพราะความเชื่อเหล่านั้นไม่เป็นความจริง การรับประทานยาปฏิชีวนะไม่ช่วยทำให้โรคหวัดจากเชื้อไวรัส หรือท้องเสียทั่วไปที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหายเร็วขึ้นแต่กลับทำให้ผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะเหล่านั้นมีโอกาสแพ้ยา เกิดเชื้อดื้อยาในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อดื้อยา ทั้งกับตนเอง และผู้อื่นในครอบครัวและสังคม เพื่อให้ทุกคนมีความตระหนักเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะทั้งในคนและสัตว์ เครื่องมือวัดรอยเท้าการใช้ยาปฏิชีวนะรายบุคคล "Antibiotic Footprint Calculator" จะช่วยให้ผู้ใช้ทราบถึงความจริงในข้อนี้” รศ.ดร.นพ.ดิเรก กล่าว