ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นภัยที่เกาะกินสุขภาพของมนุษยชาติมาอย่างยาวนาน แม้ปัจจุบันการแพทย์จะมี “ยาต้านไวรัส” และแนวทางการดูแลสุขภาพ ที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติได้ แต่นั่นหมายถึงการที่ผู้ป่วยจะต้องพึ่งพิงยาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันการพัฒนาไปสู่โรคร้ายอื่นๆ

ทุกวันนี้ นักวิจัยทั่วโลกยังคงทำงานกันอย่างหนักเพื่อหาหนทางการเอาชนะเชื้อเอชไอวี โดยไม่ต้องพายาต้านไวรัส ซึ่งล่าสุดก็มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก โดยความสำเร็จหรืออิฐก้อนแรกนี้เกิดขึ้นจากผลงานการวิจัยของทีมจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา

พวกเขาพบว่ากลไกของร่างกายสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้ในระดับหนึ่ง โดยผู้ป่วยอาจไม่ต้องรับยาต้านไวรัส Antiretroviral หรือ ART และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติแม้ไม่รับประทานยา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องมีความเสี่ยงกับผลกระทบที่อาจเกิดจากการใช้ยา ART

Nature Medicine วารสารทางการแพทย์ได้เผยแพร่งานวิจัยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 โดยสาระสำคัญคือ ทีมวิจัยได้ศึกษาผู้ติดเชื้อเอไอวี 2 ราย ที่ทำการรักษาด้วยยาต้านไวรัสมาแล้วกว่า 2 ปี ซึ่งก็ให้ผลดีในการยับยั้งไม่ให้เชื้อลุกลามจนเป็นภัยต่อสุขภาพ

จากนั้น ผู้ป่วยทั้งสองราย ได้ทำการเข้าร่วมการทดลองทางการแพทย์ที่จะหยุดการใช้ยา ART และให้ทีมวิจัยเฝ้าติดตามชีวิตของพวกในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมา

ทีมวิจัยได้คอยเฝ้าดูพัฒนาการของเชื้อในร่างกายอาสาสมัครทั้งสองราย โดยอาสาสมัคร A ในระยะเวลาราว 3 ปีครึ่ง พบเชื้อแค่เพียงแค่บางครั้ง ทว่าอาสาสมัคร A มีการรับยา ART เข้าไปบ้างบางครั้ง โดยไม่ได้บอกทีมวิจัย

แต่ในอาสาสมัคร B ตลอดระยะเวลา 4 ปี ของการเฝ้าติดตาม แทบจะไม่มีการตรวจพบเชื้อเลย แต่โชคร้ายที่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกพบเชื้อจนได้ และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เกิดจากการติดเชื้อทับซ้อนกันซ้ำ (Superinfection) โดยเป็นเชื้อเอชไอวีอีกสายพันธุ์หนึ่'

อย่างไรก็ตาม ในอาสาสมัคร A ทีมวิจัยตรวจพบ “เซลล์ภูมิคุ้มกันเอชไอวี” ที่มีชื่อว่า CD8+T ซึ่งมีความสามารถในการกำจัดเซลล์ที่ติดไวรัสเอชไอวีได้ นี่แสดงให้เห็นถึงการที่ร่างกายมีกลไกในการควบคุมและจัดการกับไวรัสชนิดนี้

ส่วนในอาสาสมัคร B แม้จะพบกับการติดเชื้อซ้อนทับ และมี CD8+T น้อยกว่า A แต่ก็พบกับภูมิต้านทานตามธรรมชาติของร่างกายพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่เกิดการติดเชื้อซ้อนทับกัน รวมถึงการตรวจหลังจากนั้นด้วย

ทีมวิจัยอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าภูมิต้านทานเชื้อไวรัสและภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกาย มีความสามารถที่จะ “ยับยั้ง” เชื้อเอชไอวีได้แทบจะโดยสมบูรณ์เหมือนกับการรับยา เมื่อรับการรักษาตามปกติถึงจุดหนึ่งแล้วหยุดการรักษา

แต่ก็ต้องทำความเข้าใจว่า แม้ว่าการทดลองครั้งนี้จะทำให้เห็นถึงความสามารถของร่ายกาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถหยุดยาหรือเข้ารับการรักษาแล้วปล่อยเลยตามเลยได้

การรับยาต้านไวรัสและเข้ารับการดูแลจากแพทย์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมาก เพราะถ้าไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ อาจจะเกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่พัฒนาจากเอชไอวี และเกิดการติดเชื้อซ้อนทับได้เมื่อได้รับเชื้อเพิ่มหรือมีเหตุของการกระตุ้นเชื้อที่ถูกยับยั้งไปแล้วบางประการ

อย่างไรก็ดี การค้นพบนี้กำลังนำไปสู่การศึกษาวิจัยวิธีการรักษาใหม่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในอนาคต เพราะอย่างน้อยในตอนนี้เราสามารถรู้ได้แล้วว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง ร่างกายของเราสามารถที่จะมีกลไกภายในที่สามารถต่อต้านเชื้อได้เองโดยไม่ต้องรับยาผ่านเงื่อนไขบางประการ เพื่อที่จะไม่ต้องรับผลข้างเคียงของยา ART ที่อาจนำไปสู่ความทรมานในหลายๆ ประการ เช่น อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า วิตกกังวล ท้องไส้ปั่นป่วน อาเจียน โรคหัวใจ หรือแม้กระทั่งอวัยวะภายในได้รับความเสียหาย

สำหรับในเวลานี้ ประเทศไทยของเรามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีอยู่ที่ประมาณ 5 แสน ถึง 1 ล้านราย โดยในจำนวนนั้นมีผู้ที่เข้ารับยาต้านไวรัสอยู่ราวๆ 4 แสนราย และเชื้อเอชไอวียังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยถึง 1.2 หมื่นรายในปี 2563

โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นพื้นที่ที่สถานการณ์เอชไอวีน่าเป็นห่วงที่สุด โดยมีสถิติผู้ติดเชื้ออยู่ที่ราวๆ 8 หมื่นคน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 1,000 คน และเสียชีวิตเกิน 1,500 คน ในปีเดียว

ในเชิงสถิติของการได้รับเชื้อเอชไอวีนั้น คนไทยได้รับเชื้อจากเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย 63% คู่ผลเลือดต่างกัน 22% คู่นอนชั่วคราวหรือนอกสมรส 10% ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดที่ไม่สะอาดร่วมกัน 3% และจากการซื้อบริการทางเพศ 2%

อย่างไรก็ดี ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีไม่ได้ป่วยอย่างเดียวดายเหมือนก่อนที่จะมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) เพราะในสิทธิบัตรทอง ได้อนุมัติชุดสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ถึง 3 ด้าน ประกอบด้วย

1. ด้านยา โดยให้สิทธิในการรักษาด้วยยาต้านไวรัสทั้งพื้นฐาน และสำหรับเชื้อดื้อยา มีสิทธิในการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงอันเป็นข้างเคียงจากยา และยังมีสิทธิได้รับยาต้านเชื้อจากแม่สู่ลูก 2. ด้านบริการ สามารถตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจหาจำนวนเม็ดเลือดขาว “CD4” การตรวจหาเชื้อดื้อยาต้านไวรัส การตรวจหาปริมาณเชื้อในกระแสเลือด บริการตรวจเลือดพื้นฐาน และบริการคัดกรอง "วัณโรค" ด้วย Chest X-Ray : CXR ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่

3. ด้านการให้คำปรึกษา บัตรทองยังมีบริการให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ให้แก่ผู้ติดเชื้อ ซึ่งสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน “สายด่วนสปสช. 1330” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

อ้างอิง
http://nature.com/articles/s41591-021-01503-6
http://niaid.nih.gov/news-events/nih-researchers-identify-how-two-people-controlled-hiv-after-stopping-treatment
https://www.nhso.go.th/page/coverage_rights_hiv_care
http://aidssti.ddc.moph.go.th/contents/view/222
https://healthserv.net/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B5-%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%8A-3172
http://si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=149
https://med.mahidol.ac.th/rama_hospital/th/services/knowledge/08252020-1352
https://hivhub.ddc.moph.go.th/epidemic.php
http://aidsboe.moph.go.th/aids_system/index.php?link=bbs