ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ประธานแพทย์ชนบท ทำหนังสือเปิดผนึกถึง อนุทิน เรียกร้องให้ยุติการคำนวนเงินเดือนข้าราชการบรรจุใหม่ในงบบัตรทอง เหตุทำให้โรงพยาบาลถูกหักเงินอีกกว่า 3 พันล้าน ส่งผลต่อคุณภาพบริการประชาชน


นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ในฐานะประธานชมรมแพทย์ชนบท ทำหนังสือเปิดผนึกถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข (สธ.) เรียกร้องให้ยุติการนำเงินเดือนจากการบรรจุข้าราชการใหม่ในช่วงสถานการณ์โควิด มาคำนวณในการตัดเงินเดือนจากงบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง)

ทั้งนี้ เนื่องจากการคำนวณดังกล่าว จะทำให้งบประมาณที่โรงพยาบาลควรจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ต้องถูกหักเพิ่มอีกราว 3,143.33 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพบริการ และถือเป็นการลดระดับหลักประกันสุขภาพที่ประชาชนควรได้รับ

“รัฐบาลคาดหวังการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ของระบบสาธารณสุข ประชาชนยิ่งคาดหวังกับการรับบริการที่ดีเลิศ แต่การจัดสรรงบประมาณกลับตรงกันข้าม ให้งบดำเนินการมาอย่างจำกัดจำเขี่ย ต้องให้โรงพยาบาลต่างๆ มาแย่งเค้กก้อนที่เล็กลง หนี้สินพอกพูน พัฒนาไปข้างหน้าไม่ได้ สร้างความเครียดให้กับบุคลากรโดยไม่จำเป็น” นพ.สุภัทร ระบุ

นพ.สุภัทร ระบุอีกว่า ปี 2565 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณในระบบบัตรทอง ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2564 เป็นจำนวน 198,891 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ 4,380 ล้านบาทหรือคิดเป็น 2.3 % ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นไม่มาก หากเทียบกับภาระงานและความคาดหวังในการประชาชนคนไทย

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีแนวโน้มที่ชัดเจนว่า สำนักงบประมาณจ้องจะปรับลดงบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในทุกหนทาง โดยในปีงบ 2565 นั้น สำนักงบประมาณได้นำเงินเดือนจากการบรรจุข้าราชการใหม่ในช่วงสถานการณ์โควิดมาคำนวณในการตัดเงินเดือนจากงบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วย

“การกระทำเช่นนั้นส่งผลให้งบประมาณจากที่ควรจะได้รับต้องถูกหักเพิ่มอีก 3,143.33 ล้านบาท เท่ากับว่าในปีงบ 2565 นั้น งบดำเนินการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าลดลงไป 1,814.62 ล้านบาท หรือลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปี 2564” นพ.สุภัทร ระบุ

ทั้งนี้ ชมรมแพทย์ชนบทจึงขอให้ รมว.สธ. ได้ดำเนินการยุติการดำเนินการดังกล่าว และขอให้มีการเรียกประชุมชมรมต่างๆ ในประชาคมสาธารณสุขเป็นการด่วน เพื่อหารือเรื่องดังกล่าวในการพิทักษ์ผลประโยชน์ด้านสุขภาพของประชาชน และสร้างอำนาจต่อรองกับกระทรวงการคลังต่อไป