ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สำนักปลัด สธ. ส่งหนังสือชี้แจง “แนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลังหน่วยงานในราชการบริหารส่วนภูมิภาค สังกัดสำนักงานปลัด สธ. ปี 2567-2569” เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2567 เป็นต้นไป


นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล ผู้ตรวจราชการ สธ. ในฐานะรักษาราชการแทนรองปลัด สธ. ปฏิบัติราชการแทนปลัด สธ. ลงนามในหนังสือเรื่อง “แนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลังหน่วยงานในราชการบริหารส่วนภูมิภาค สังกัดสำนักงานปลัด สธ. ปี 2567-2569” ลงวันที่ 22 ธ.ค. 2566 ถึง ผวจ.ทุกจังหวัด ผู้ตรวจราชการ สธ. เขตสุขภาพที่ 1-12 และ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพที่ 1-12 เพื่อชี้แจงแนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลังฯ

ทั้งนี้ การบริหารกรอบอัตรากำลัง ปี 2567-2569 ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2567 เป็นต้นไป ให้บริการจัดการในภาพรวมรายสายงาน รายเขตสุขภาพ ภายใต้กรอบอัตรากำลังที่ อ.ก.พ.สธ. เห็นชอบได้ 100% อย่างไรก็ตาม หากหน่วยงานและเขตสุขภาพได้วิเคราะห์กรอบอัตรากำลังตามบริบทของพื้นที่และมีผลให้กรอบภาพรวมรายสายงาน เกิน 100% แต่ไม่เกินกรอบภาพรวมเขตสุขภาพ ให้เขตสุขภาพแจ้งเหตุผลความจำเป็นผ่านความเห็นชอบจากผู้ตรวจราชการ สธ. เสนอสำนักงานปลัด สธ. พิจารณาต่อไป

4

สำหรับแนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลัง ปี พ.ศ. 2567-2569 อ.ก.พ.สธ. ในการประชุมครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2566 และครั้งที่ 5/2566 เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 มีมติเห็นชอบโครงสร้างและกรอบอัตรากำลังหน่วยงานโนราชการบริหารส่วนภูมิภาค สังกัดสำนักงานปลัด สธ. ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569) และให้บริหารกรอบอัตรากำลังในภาพรวมของเขดสุขภาพ โดยสำนักงานปลัด สธ. กำหนดแนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลัง ปี พ.ศ. 2567-2569 ดังนี้

1. กรอบอัตรากำลัง ปี พศ. 2567-2569 ไม่รวมกรอบอัตรากำลังของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษานวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่มีการถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2566 ทั้งนี้หากมีผู้ปฏิบัติหรือตำแหน่งปรากฏในหน่วยงานที่มีการถ่ายโอน (2 ต.ค. 2566) ให้กำหนดกรอบอัตรากำลังเฉพาะหน่วยงานที่ยังไม่มีการถ่ายโอน

2. บริหารกรอบอัตรากำลังภาพรวมเขตสุขภาพทุกสายงาน ไม่เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ สำหรับกรอบอัตรากำลังคงเหลือ ให้ผู้ตรวจราชการ สธ. สงวนไว้เพื่อบริหารจัดการในภาพรวมของเขตสุขภาพต่อไป

3. กรณีหน่วยงานมีผู้ปฏิบัติงานเกินกรอบอัตรากำลัง ให้หน่วยงานจัดทำแผนความต้องการกรอบอัตรากำลังในแต่ละสายงาน โดยปรับเพิ่มหรือลดกรอบอัตรากำลังตามภาระงานที่มีจริง ส่งให้เขตสุขภาพพิจารณาในภาพรวมเพื่อเกลี่ยกรอบอัตรากำลังให้หน่วยงานภายในเขตสุขภาพตามภาระงานที่มีจริงตามโครงสร้าง โดยไม่เกินกรอบภาพรวมรายสายงาน หากพิจารณาแล้วมีผู้ปฏิบัติงานเกินกว่าภาระงานให้หน่วยงานพิจารณาปรับลดกรอบอัตรากำลังสายงานนั้นตามภาระงานจริง และให้เขตสุขภาพพิจารณาเกลี่ยผู้ปฏิบัติไปยังหน่วยงานอื่นภายในเขตสุขภาพที่มีความต้องการ หรือจำเป็นตามภาระงาน หรือให้หน่วยงานคงผู้ปฏิบัติงานไว้ที่เดิมจนกว่าผู้ครองตำแหน่งเดิมพ้นไป หากผู้ครองตำแหน่งเดิมพ้นไปไม่ให้สรรหาบุคคลมาทดแทนในตำแหน่งว่างนั้น และให้เกลี่ยตำแหน่งออกไปยังหน่วยงานที่มีภาระงาน

4. กรณีหน่วยงานไม่กำหนดกรอบอัตรากำลังแต่มีผู้ปฏิบัติจริง ให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นส่งไปให้เขตสุขภาพเพื่อรวบรวมเสนอไปยังสำนักงานปลัด สธ. พิจารณาต่อไป โดยการกำหนดกรอบอัตรากำลังจะต้องคำนึงถึงภาระงาน หรือแผนการให้บริการในอนาคต หากไม่มีการกำหนดกรอบอัตรากำลังไว้จะไม่สามารถกำหนดให้มีตำแหน่งหรือผู้ปฏิบัติงานได้

5. กรณีหน่วยงานที่มีผู้ปฏิบัติหรือตำแหน่งไม่ตรงตามโครงสร้าง ให้กำหนดกรอบอัตรากำลังเฉพาะที่ตรงตามโครงสร้างเท่านั้น และให้หน่วยงานพิจารณาเกลี่ยผู้ปฏิบัติหรือตำแหน่งว่างให้ตรงตามโครงสร้าง หรือเปลี่ยนสายงานเป็นสายงานอื่นที่มีความจำเป็นตามภารกิจและตามโตรงสร้างของหน่วยงาน ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งที่ ก.พ. กำหนด แผนการเปลี่ยนสายงาน และต้องไม่เกินกรอบอัตรากำลังในภาพรวมหน่วยงาน

6. กรณีที่หน่วยงานเปิดใหม่/ยกฐานะ จัดตั้งกลุ่มงาน/เพิ่มสายงานในโครงสร้าง ให้หน่วยงานพิจารณาเกลี่ยกรอบอัตรากำลังภาพรวมภายในหน่วยงาน หากไม่เพียงพอกับภาระงานให้จัดทำแผนขอรับจัดสรรกรอบอัตรากำลัง โดยให้เขตสุขภาพพิจารณาในภาพรวมเพื่อจัดสรรกรอบอัตรากำลังตามภาระงานจริง และต้องไม่เกินกรอบอัตรากำลังในภาพรามของเขตสุขภาพ

7. กรณีเขตสุขภาพมีความจำเป็นขอใช้กรอบอัตรากำลังภาพรวมรายสายงานเกิน 100 เปอร์เซ็นต์​ ให้เขตสุขภาพยื่นคำร้องพร้อมเหตุผลความจำเป็นไปที่สำนักงานปลัด สธ. เพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้จะต้องไม่เกินกรอบอัตรากำลังภาพรวมทุกสายงาน