ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สป.สธ. ร่อนหนังสือถึง ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด - ผู้ตรวจราชการ สธ. และ ผอ.สำนักงานเขตสุขภาพ 1-12 แจ้ง แนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลังหน่วยงานในราชการบริหารส่วนภูมิภาค สังกัด สป.สธ ปี 2567 – 2569 ที่ต้องใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2567 เป็นต้นไป


สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ส่งหนังสือถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ผู้ตรวจราชการ สธ. เขตสุขภาพที่ 1 – 12 และผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพที่ 1 – 12 เรื่องแนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลังหน่วยงานในราชการบริหารส่วนภูมิภาค สังกัด สป.สธ ปี พ.ศ. 2567 – 2569 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 2566 ซึ่งลงนามโดย นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล ผู้ตรวจราชการ สธ. รักษาราชการแทนรองปลัด สธ. และปฏิบัติราชการแทนปลัด สธ.

ใจความสำคัญของหนังสือระบุว่า ตามที่ สป.สธ. ได้แจ้งแนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลังหน่วยงานในราชการส่วนภูมิภาค สังกัด สป.สธ. ปี พ.ศ. 2567 – 2569 โดยให้เขตสุขภาพทดลองใช้ในการบริหารจัดการกรอบอัตรากำลังในภาพรวมสายงานเขตสุขภาพเพื่อใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการกำลังคนของเขตสุขภาพไม่เกินร้อยละ 48 ของกรอบอัตรากำลังภาพรวมเขตสุขภาพเป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2566 – 8 ก.พ. 2567

ส่วนการบริหารกรอบอัตรากำลัง ปี พ.ศ. 2567 – 2569 ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2567 เป็นต้นไปนั้น ให้บริหารจัดการในภาพรวมรายสายงาน และรายเขตสุขภาพ ภายใต้กรอบอัตรากำลังที่ อ.ก.พ.สธ. เห็นชอบได้ 100% โดยหากหน่วยงายและเขตสุขภาพได้วิเคราะห์กรอบอัตรากำลังตามบริบทของพื้นที่ และมีผลให้กรอบภาพรวมรายสายงานเกิน 100% แต่ไม่เกินกรอบภาพรวมเขตสุขภาพ ให้เขตสุขภาพแจ้งเหตุผลความจำเป็น ผ่านความเห็นชอบจากผู้ตรวจราชการ สธ. เสนอ สป.สธ. พิจารณาต่อไปนั้น

สป.สธ. ขอแจ้งแนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลังหน่วยงานในราชการบริหารส่วนภูมิภาค สังกัด สป.สธ. ปี พ.ศ. 2567 – 2569 ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2567 เป็นต้นไป ว่าให้บริหารจัดการในภาพรวมสายงาน เขตสุขภาพ ภายใต้กรอบอัตรากำลังที่ อ.ก.พ.สธ. เห็นชอบได้ 100% เพื่อใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการกำลังคนให้เหมาะสมในภาพรวมเขตสุขภาพ และให้เขตสุขภาพบันทึกข้อมูล ส่ง สป.สธ ภายในวันที่ 12 ม.ค. 2567 สำหรับดำเนินการตรวจสอบตามแนวทางการบริหารกรอบอัตรากำลังต่อไป

สำหรับรายละเอียดแนวทางการดังกล่าว มีดังนี้ 1. กรอบอัตรากำลัง ปี พ.ศ. 2566 – 2569 ไม่รวมกรอบอัตรากำลังของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่มีการถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2566 โดยหากมีผู้ปฏิบัติหรือตำแหน่งปรากฎในหน่วยงานที่มีการถ่ายโอน (2 ต.ค. 2566) ให้กำหนดกรอบอัตรากำลังเฉพาะหน่วยงานที่ยังไม่มีการถ่ายโอน

2. บริหารกรอบอัตรากำลังภาพรวมเขตสุขภาพทุกสายงานไม่เกิน 100% สำหรับกรอบอัตรากำลังคงเหลือ ให้ผู้ตรวจราชการ สธ. สงวนไว้เพื่อบริหารจัดการในภาพรวมของเขตสุขภาพต่อไป

3. กรณีหน่วยงานมีผู้ปฏิบัติงานเกินกรอบอัตรากำลัง ให้หน่วยงานจัดทำแผนความต้องการกรอบอัตรากำลังในแต่ละสายงานโดยปรับเพิ่มหรือลดกรอบอัตรากำลังตามภาระงานที่มีจริงส่งให้เขตสุขภาพพิจารณาในภาพรวมเพื่อเกลียกรอบอัตรากำลังให้หน่วยงานภายในเขตสุขภาพตามภาระงานที่มีจริงตามโครงสร้าง โดยไม่เกินกรอบภาพรวมรายสายงาน

แต่หากพิจารณาแล้วมีผู้ปฎิบัติงานเกินกว่าภาระงานให้หน่วยงานพิจารณาปรับลดกรอบอัตรากำลังสายงานนั้นตามภาระงานจริง และให้เขตสุขภาพพิจารณาเกลี่ยผู้ปฏิบัติไปยังหน่วยงานอื่นภายในเขตสุขภาพที่มีความต้องการหรือจำเป็นตามภาระงาน หรือให้หน่วยงานคงผู้ปฏิบัติงานไว้ที่เดิมจนกว่าผู้ครองตำแหน่งเดิมพ้นไป หากผู้ครองตำแหน่งเดิมพ้นไปไม่ให้สรรหาบุคคลมาทดแทนในตำแหน่งว่างนั้น และให้เกลี่ยตำแหน่งออกไปยังหน่วยงานที่มีภาระงาน

4. กรณีหน่วยงานไม่กำหนดกรอบอัตรากำลังแต่มีผู้ปฏิบัติจริง ให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นส่งไปให้เขตสุขภาพเพื่อรวบรวมเสนอไปยัง สป.สธ. พิจารณาต่อไป โดยการกำหนดกรอบอัตรากำลังจะต้องคำนึงถึงภาระงาน หรือแผนการให้บริการในอนาคต หากไม่มีการกำหนดกรอบอัตรากำลังไว้จะไม่สามารถกำหนดให้มีตำแหน่งหรือผู้ปฏิบัติงานได้

5. กรณีหน่วยงานที่มีผู้ปฏิบัติหรือตำแหน่งไม่ตรงตามโครงสร้าง ให้กำหนดกรอบอัตรากำลังเฉพาะที่ตรงตามโครงสร้างเท่านั้น และให้หน่วยงานพิจารณาเกลียผู้ปฏิบัติหรือตำแหน่งว่างให้ตรงตามโครงสร้าง หรือเปลี่ยนสายงานเป็นสายงานอื่นที่มีความจำเป็นตามภารกิจและตามโครงสร้างของหน่วยงาน โดยให้คำนึงถึงหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งที่สำนักงานคณะกรรมการช้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กำหนด แผนการเปลี่ยนสายงาน และต้องไม่เกินกรอบอัตรากำลังในภาพรวมหน่วยงาน

6. กรณีที่หน่วยงานเปิดใหม่/ยกฐานะ จัดตั้งกลุ่มงาน/เพิ่มสายงานในโครงสร้าง ให้หน่วยงานพิจารณาเกลียกรอบอัตรากำลังภาพรวมภายในหน่วยงาน หากไม่เพียงพอกับภาระงานให้จัดทำแผนขอรับจัดสรรกรอบอัตรากำลัง โดยให้เขตสุขภาพพิจารณาในภาพรวมเพื่อจัดสรรกรอบอัตรากำลังตามภาระงานจริงและต้องไม่เกินกรอบอัตรากำลังในภาพรรมของเขตสุขภาพ

7. กรณีเขตสุขภาพมีความจำเป็นขอใช้กรอบอัตรากำลังภาพรวมรายสายงาน เกิน 100% ให้เขตสุขภาพยืนคำร้องพร้อมเหตุผลความจำเป็นไปที่ สป.สธ. เพื่อพิจารณาต่อไป โดยจะต้องไม่เกินกรอบอัตรากำลังภาพรวมทุกสายงาน

อ่านหนังสือฉบับเต็มได้ที่