ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สภาผู้บริโภค หนุน เครือข่ายประชาชนล่าหนึ่งหมื่นรายชื่อร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ จ่อเสนอสภาผู้แทนราษฎร กลาง ธ.ค. นี้ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุ จ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุ 3,000 บาทต่อเดือน กระตุ้นเศรษฐกิจจีดีพีโต 4.17% ไม่เป็นภาระงบประมาณประเทศ


จากที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบรับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ เมื่อ ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการจึงเดินหน้าล่ารายชื่อประชาชนอย่างน้อยจำนวน 1 หมื่นรายชื่อ เพื่อผลักดันกฎหมายในการสร้างหลักประกันรายได้ให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป  

4

ล่าสุด นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (WE FAIR) เปิดเผยผ่านรายการถ่ายทอดสดที่จัดโดย สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2566 ว่า ปัจจุบันมีผู้ร่วมลงรายชื่อผ่านช่องทางออนไลน์กว่า 5,000 และเข้าลงชื่อบนเอกสารสนับสนุนอีก 5,000 กว่ารายชื่อ ซึ่งถือว่าครบ 1 หมื่นรายชื่อแล้ว 

อย่างไรก็ตาม เครือข่ายรัฐสวัสดิการฯ ยังจำเป็นต้องหารายชื่อให้ได้มาก เนื่องจากประสบการณ์ในเสนอชื่อผลักดันกฎหมายในปี 2562 ซึ่งเสนอไป 1.4 หมื่นรายชื่อ พบว่าในกระบวนการตรวจสอบสิทธิ์มีรายชื่อตกหล่น 1,000 รายชื่อจึงมีการล่ารายชื่อเพิ่มเผื่อเอาไว้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมและและรอสภาผู้แทนราษฎร เปิดประชุมในสมัยที่สอง คือ วันที่ 12 ธ.ค. 2566 จากนั้นเครือข่ายรัฐสวัสดิการฯ จะยื่นรายชื่อในช่วงวันที่ 13 - 15 ธ.ค. 2566

ทั้งนี้ สำหรับร่างกฎหมายดังกล่าวมีการปรับปรุงและแก้ไขจากร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุฉบับเดิม โดยกฎหมายนี้จะแก้จากสงเคราะห์เป็นถ้วนหน้ามีหลักการพื้นฐานสำคัญ 4 ข้อ คือ 1. แนวคิดการทำเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นแนวคิดสงเคราะห์ ที่มีการจ่ายเบี้ยยังชีพมาตั้งแต่ปี 2535 และเริ่มจ่ายในปี 2536 โดยจะเปลี่ยนจากแบบสงเคราะห์เป็นแบบสวัสดิการถ้วนหน้า 

2. เมื่ออายุครบ 60 ปี ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงสวัสดิการบำนาญ 3. ต้องจัดสวัสดิการให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในอัตราไม่ต่ำกว่าเกณฑ์เส้นความยากจนของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คือ 3,000 บาท และ 4. จัดตั้งสำนักงานกองทุนผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ธุรการและวิชาการให้กับกองทุน และกำหนดวิธีการบริหารจัดการกองทุนผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ

“รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังขาดนโยบายในเรื่องบำนาญ ขณะที่มองว่าการให้เงินสวัสดิการในระบบบำนาญถ้วนหน้าสามารถสร้างรากฐานระบบเศรษฐกิจและทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชาติได้ ที่สำคัญคือทำให้ประเทศไทยเข้าถึงสังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีคุณภาพอีกด้วย” นายนิติรัตน์ กล่าว

1

ด้าน นางหนูเกณ อินทจันทร์ ชาวชุมชนท่าเรือคลองเตย ผู้ร่วมผลักดันให้มีสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุในชุมชนคลองเตยที่มีอายุ 72 ปียังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีลูกหลานดูแล ถ้ารัฐบาลจัดสวัสดิการ 3,000 บาท จะเป็นรายได้ที่ช่วยแบ่งเบาและสามารถนำมาบริหารจัดการซื้ออาหารที่จำเป็นให้เพียงพอในการใช้ชีวิตได้ รวมทั้งรัฐต้องจัดรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าให้กับผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการตกหล่น เนื่องจากคนที่ตกหล่นส่วนใหญ่มักจะเป็นคนยากจน นอกจากนี้ต้องการให้รัฐจ่ายสวัสดิการแบบบำนาญมากกว่าแบบเบี้ยยังชีพ เนื่องจากถ้าเป็นแบบเบี้ยยังชีพ รัฐบาลสามารถยกเลิกได้หากไม่มีงบประมาณ แต่หากจัดเป็นระบบบำนาญที่มีกฎหมายรองรับรัฐบาลจะยกเลิกได้ยากกว่า

“เมื่อประมาณเดือน ก.ย. 2566 รัฐพยายามตัดเบี้ยยังชีพ และให้เฉพาะคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งมีประมาณ 5 ล้านกว่าคน แต่ผู้สูงอายุทั่วประเทศไทย มีประมาณ 12 ล้านคน เราไม่เห็นด้วยเลยเพราะผู้สูงอายุในวัยหนุ่มสาว เขาสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ ทั้งการได้จ่ายภาษีทางตรง และเสียภาษีทางอ้อมในรูปแบบการซื้อของ ดังนั้นจึงอยากได้บำนาญเป็นหลักประกันในวัยที่สูงอายุบ้าง” นางหนูเกณ กล่าว

1

ขณะที่ ดร.กติกา ทิพยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงแนวทางการจัดสรรงบประมาณในการจัดสวัสดิการบำนาญว่า จากงานวิจัยพบว่าแหล่งที่มาของรายได้จากภาษีจะทำให้เกิดความยั่งยืน โดยอาจเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นในปี 2562 ที่เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก ร้อยละ 8  เป็นร้อยละ 10 โดยใช้วิธีเพิ่มภาษีในสินค้าฟุ่มเฟื่อยและทยอยปรับขึ้นในระยะเวลา 1 - 3 ปี ซึ่งประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้เพื่อลดแรงต้านในการเพิ่มภาษีได้เช่นกัน

“การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ในญี่ปุ่น ไม่ถือว่าเยอะมาก เพราะปัจจุบันฐานภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ร้อยละ 15 หากประเทศไทยจัดสวัสดิการบำนาญ 3,000 บาทแบบถ้วนหน้าให้ผู้สูงอายุจำนวน 12 - 13 ล้านคน รัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณ 4.5 แสนล้านบาท และหากทยอยเพิ่มภาษีเพียงปีละร้อยละ 1 รัฐจะมีรายได้ถึง 7 หมื่น - 1 แสนล้านบาทและมีรายได้เพียงพอที่จะนำมาจัดสรรสวัสดิการได้” ดร.กติกา

ดร.กติกา ยังพบว่าหากรัฐจัดสรรสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุทุกคนด้วยเงิน 4.5 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี จะส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 7 แสนล้านบาท ทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.17 จึงเป็นสิ่งที่มีความชัดเจนว่าการจัดสรรงบประมาณสวัสดิการให้ผู้สูงอายุมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจถึง 5 รอบ ถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชาติได้ด้วยและยังไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ

4

ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคสนับสนุนเครือข่ายภาคประชาชนในการขับเคลื่อนกฎหมายบำนาญแห่งชาติเพราะเป็นสิทธิของผู้บริโภคในการเข้าถึงการบริการขั้นพื้นฐาน จะเห็นได้ว่าหากผู้สูงอายุยังคงได้รับเบี้ยยังชีพจำนวน 600 -700 บาทก็จะไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตจึงอยากให้รัฐบาลสนับสนุนดำเนินนโยบายเรื่องนี้อย่างจริงจัง ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนดำเนินนโยบายนี้ เพราะจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบสวัสดิการของประเทศ

“การทำให้เกิดบำนาญแห่งชาติต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองของนักการเมือง และอยากเห็นรัฐบาลสร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ และอยากให้ทุกรัฐบาลควรกระชับการใช้งบประมาณและทำให้เกิดระบบสวัสดิการประชาชน เพื่อสร้างหลักประกันและคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ” นางสาวสารี กล่าว