ผ่านมาแล้วกว่า 10 วัน นับตั้งแต่มีการคิกออฟนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) สามารถเข้ารับบริการได้ในสถานพยาบาลทุกระดับ ทั้งในและนอกระบบกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อันเป็นการต่อยอดความสำเร็จจาก “30 บาทรักษาทุกโรค” ที่กลายเป็นนโยบายชูโรงของพรรคเพื่อไทยเมื่อ 20 ปีก่อน
ฉะนั้นภายใต้การยกระดับที่ว่าจึงเสมือนเป็นการตอกย้ำความเป็น “แบรนด์” ให้ขยับไปอีกขั้นของการให้บริการที่ดูแลครอบคลุมประชากรในประเทศกว่า 47 ล้านคน รวมถึงจะเป็นเรื่องหลักที่จะดำเนินการด้านสาธารณสุข ของรัฐบาลในปัจจุบัน เพราะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ให้คำมั่นไว้ในครั้งแถลงนโยบายอย่างชัดเจนว่าเป็นนโยบาย “พัฒนา ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน” ผ่านการยกระดับบัตรทอง 30 บาทด้วยการ “ใช้บัตรประชาชนใบเดียว” เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ
จนกระทั่งจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็น รมช.สธ. เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.สธ. และได้ชูการยกระดับ 30 บาทเป็นนโยบายเรือธงในการขับเคลื่อนงานสาธารณสุขในยุคปัจจุบันโดยกำหนดเป็น 13 ประเด็นหลัก และแบ่งออกเป็น 10 ประเด็นขับเคลื่อนผ่านแผนเร่งรัดภายใน 100 วันแรก หรือ “Quick Win 100 วัน” เพื่อให้ประชาชนสามารถจับต้องได้มากที่สุด
“The Coverage” ได้รับเกียรติอย่างสูงจาก “นพ.ชลน่าน” รมว.สธ. ในฐานะหัวเรือใหญ่แห่งกระทรวงหมอ ในการพูดคุยถึงการขับเคลื่อนการนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ตั้งแต่การเบื้องหลังภายในพรรคก่อนจะประกาศเป็นนโยบาย ตลอดจนการพัฒนาระบบสุขภาพเพื่อประชาชน บนความหวังที่อยากเห็น “คนไทย” ได้รับการยกระดับคุณภาพชีวิต และมีสุขภาพที่ดีตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้
1 สัปดาห์ หลังคิกออฟ ‘30 บาทรักษาทุกที่’
หลังจากการคิกออฟนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ใน 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส ไปในวันที่ 7 ม.ค. 2567 นั้น นพ.ชลน่าน บอกว่า เมื่อประกาศแล้ว สธ. เองก็ไม่ได้นิ่งเฉย และมีการเดินหน้าตั้งคณะทำงานตั้งเป็น “วอร์รูม” ในการติดตามปัญหาที่จะเกิดขึ้น รวมถึงสิ่งที่ยังต้องปรับแก้ก่อนจะเข้าสู่ “เฟส 2” อีก 8 จังหวัดในเดือน มี.ค. 2567 ที่จะถึงนี้
นพ.ชลน่าน บอกต่อไปว่า โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการโจมตีทางไซเบอร์ และการเข้ามาใช้บริการของประชาชนที่ไม่ได้เป็นไปตามที่หลายคนกังวล เช่น การเลือกเข้าโรงพยาบาลจนทำให้เกิดความแออัด อย่างกรณีของ จ.เพชรบุรี ที่มีประชาชนเพียง 5% เท่านั้นที่เข้ามาใช้บริการในลักษณะนี้ ขณะที่พื้นที่ อ.ชะอำ สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือการเข้าถึงบริการของประชากรต่างถิ่นที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ ต่างจากเดิมที่ไม่สามารถรับบริการได้ เพราะไม่ได้ย้ายมาขึ้นทะเบียนในพื้นที่
ภาพที่ นพ.ชลน่าน ต้องการเห็นคือเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชนให้เป็นธรรม เสมอภาค และเท่าเทียม โดยเป็นการต่อยอดจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่ได้ทำไว้เมื่อ 22 ปีก่อน ที่มีการเข้าถึงสิทธิ 95% ของประชาชน จากอดีตที่มีเพียง 50-60% เท่านั้น
ฉะนั้นภาพที่เห็นจากนโยบาย เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีความจำเป็น สามารถเข้าถึงบริการได้จริงอย่างทั่วถึง
สำหรับการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ จากการประเมินพบว่ามีความสุขมากขึ้น เพราะภาระงานไม่ได้เพิ่มตามแนวโน้มที่คาดว่าจะเพิ่มตามผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการ ขณะเดียวกันก็เริ่มขยายเข้าไปในชุมชนภายใต้การมีส่วนร่วมของการจัดการสุขภาพ โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง “โทรเวชกรรม” หรือ “Telemedicine” เข้ามาช่วยเรื่องการให้คำปรึกษาทางไกล (Teleconsult) ระหว่างพื้นที่ และผู้เชี่ยวชาญ ทำให้บริการมีความครอบคลุมมากขึ้น
“เมื่อ 22 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะทำได้อย่างน่าพึงพอใจ แต่ก็ยังเกิดปัญหาเรื่องความแออัด ล่าช้า การส่งต่อ หรือการที่ไม่สามารถใช้สิทธิได้ในกรณีที่มีความจำเป็น เนื่องจากอยู่นอกพื้นที่บริการ จึงได้นำส่วนนั้นมาปรับปรุง ประกอบกับการพัฒนาของเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากขึ้นในยุคดิจิทัล เป็นโอกาสที่จะนำมาใช้ในด้านสุขภาพ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชนอย่างทั่วถึง เสมอภาค มีมาตรฐาน และเป็นธรรม”
นพ.ชลน่าน อธิบายว่าการประเมินงานนั้นจะต้องทำให้ครบทุกด้าน ได้แก่ 1. ประชาชน ที่ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) วางระบบสายด่วน สปสช. 1330 เอาไว้รองรับประชาชน รวมถึงมีการตั้งคณะติดตามปัญหา ข้อร้องเรียน และต่อไประบบจะมีความชัดเจนขึ้นในเรื่องของความพึงพอใจจากผู้ใช้บริการ 2. ผู้ให้บริการ พบว่าหลังเริ่มคิกออฟในช่วง 7 วันแรก ยังไม่ได้รับเสียงบ่นจากบุคลากรทางการแพทย์เหมือนช่วงแรกที่ทำ 30 บาทรักษาทุกโรค
อย่างไรก็ตาม ก็ยังได้รับเสียงสะท้อนเรื่องการติดขัดเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็จะต้องมีการติดตามว่าภาระงานของบุคลากรเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร มีข้อติดขัดส่วนไหน หรือมีสิ่งใดที่จะสามารถเติมเต็มได้บ้าง และ 3. ระบบ แม้ว่าจะมีระบบยืนยันตัวตนเพื่อตรวจสอบสิทธิ แต่บางครั้งก็ยังจำเป็นที่จะต้องไปห้องบัตรเพื่อยืนยัน ตรวจสอบสิทธิอย่างครอบคลุม และใช้วางแผนในการเข้ารับบริการ เช่น การเลือกรับยา ซึ่งในเฟสที่ 2 จะพยายามลดส่วนนี้ลง
ส่วนเรื่องการเบิกจ่ายนั้น สปสช. เองพยายามปรับระบบให้เร็วขึ้น เช่น สามารถจ่ายค่าบริการได้ภายใน 3 วัน และเปิดช่องทางการตรวจสอบสิทธิได้ถึง 7 ช่องทาง ซึ่ง 4 จังหวัดนำร่องก็ได้มีการเบิกจ่ายไปแล้ว ส่วนระบบนั้นค่อนข้างรองรับได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะสถานพยาบาลภาครัฐ
ขณะที่ภาคเอกชน จะใช้วิธีการเบิกจ่ายตามรายการจ่ายจริง (Fee Schedule) เช่น การให้บริการทางห้องปฏิบัติการ (แล็บ) จำนวน 22 รายการ
“แต่ในส่วนของคลินิก และโรงพยาบาลเอกชนก็อาจจะยังมีปัญหาบ้าง เพราะขณะนี้ สปสช. ใช้วิธีเหมาจ่ายเป็นรายครั้งที่ไปรับบริการ (Per Visits) ซึ่งตอนนี้ก็ได้ดู และคุยกับ สปสช. เหมือนกันถึงแนวทางการจัดการส่วนนี้”
มี.ค. ขยายเพิ่ม 8 จังหวัด และทั่วประเทศภายในสิ้นปี
จากการประเมินสถานการณ์นับแต่วันที่เริ่มมีการคิกออฟนโยบาย เพื่อดูผลการดำเนินงาน และอุปสรรคที่ต้องมีการแก้ไขปรับปรุง โดยในระยะถัดไป หรือเฟส 2 ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 เดือน ซึ่งเป็นขยายพื้นที่นำร่องเพิ่มใน 8 จังหวัด ประกอบด้วย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สระบุรี สระแก้ว หนองบัวลำภู นครราชสีมา อำนาจเจริญ และพังงา นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จะมีการ “พัฒนาเชิงเทคนิค” อยู่พอควร
ตัวอย่างเช่น การต้องทำบัตรใหม่ โดยได้มีการให้ สปสช. ที่มีข้อมูลสิทธิของผู้รับบริการในระบบบัตรทอง 30 บาทเกือบทั้งหมด ปรับปรุงปัญหาที่อาจจะทำให้การดึงข้อมูลยังไม่ตอบสนอง รวมถึงการปรับระบบการตรวจสอบสิทธิการรักษาให้ครอบคลุมทั้ง 3 สิทธิ (บัตรทอง 30 บาท ประกันสังคม และ สวัสดิการข้าราชการ) เพราะเป้าหมายคือต้องการให้ประชาชนสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียว
“เราทำระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน (Financial Data Hub) หากทำเองระบบข้อมูลจะถูกยิงเข้ามาที่ส่วนกลางของเราทั้งหมด และค่อยต่อไปยัง สปสช. ตามสาขา ตามสิทธิเพื่อให้ทำการเบิกจ่าย ตรงนี้เราเตรียมแก้ไว้แล้วในเฟสที่ 2 ฉะนั้นพี่น้องประชาชนในพื้นที่นำร่องทั้ง 2 เฟส จะได้รับความสะดวกมากขึ้น”
นพ.ชลน่าน ยังคงมั่นใจว่าจะสามารถขยายนโยบายดังกล่าวไปทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้ โดยเฉพาะหากทำให้ภาคเอกชนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการเชื่อมั่นในระบบการเชื่อมข้อมูล หรือระบบการเบิกจ่าย รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ซึ่งขณะนี้ สปสช. เองก็ปรับตัวมากในเรื่องของการสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชน ทั้งร้านยาที่จ่ายผ่านรายการจ่ายจริง รวมไปถึงบริการแล็บ บริการทันตกรรม ฯลฯ
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อไปว่า อีกภาพที่อยากเห็นคือการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดบริการของเอกชน ยกตัวอย่าง ร้านขายยา ซึ่งขณะนี้ สธ. พยายามจะช่วยสำหรับการซื้อยาภายใต้ระบบยารวมเพื่อต้นทุกที่ถูกลง และมียาไปในทิศทางเดียวกันกับที่จ่ายในแต่ละจังหวัด ทำให้ร้านขายยามีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ขณะนี้ ยังเป็นการใช้วิธีที่ผสมผสานทั้งจ่ายยาที่มีในคลังอยู่แล้ว กับใช้ยาของโรงพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยเดินทางมารับได้ที่ร้านขายยาใกล้บ้านของเขา ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ สธ. กำลังพัฒนา
มากไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงคลินิกเทคนิคการแพทย์ นพ.ชลน่าน มองว่า ส่วนนี้จะทำให้วิชาชีพเข้มแข็งขึ้นได้ เพราะนักเทคนิคการแพทย์จะเข้ามามีส่วนในการดูแลผู้ป่วย เกิดการสร้างรายได้ และอาจจะส่งผลให้คนเข้ามาเรียนทางด้านนี้มากขึ้นด้วย
รวมถึงอีกสิ่งสำคัญคือบริการ “ทันตกรรม” ที่ในอดีตการเข้าถึงอาจจะไม่ง่าย แต่เมื่อมีการเปิดโครงการดังกล่าวขึ้นมา ทำให้ผู้ป่วยที่มีสิทธิอยู่ในแต่ละพื้นที่ไม่ต้องไปรอที่โรงพยาบาล ท้ายที่สุด “1 ทันตแพทย์ 1 ผู้ช่วยทันตแพทย์” จะเกิดขึ้นจริงได้โดยอาศัยภาคเอกชน
ข้อกังวลก่อนเป็น ‘30 บาทรักษาทุกที่
ครั้งเมื่อก่อนการกำหนดให้ “30 บาทรักษาทุกที่” เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน บอกว่า ในการประชุมพรรคมีสิ่งที่เห็นว่าต้องระวัง และเสี่ยงต่อความล้มเหลว นั่นคือ “ความพร้อมของคน” เพราะเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์มาแล้วเมื่อตอนเริ่ม 30 บาทรักษาทุกโรค คือ หากไม่เตรียมความพร้อมให้ดีอาจทำให้เกิดแรงต้าน และเมื่อเกิดก็จะทำให้ปัจจัยที่จะเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จน้อยลง
ขณะเดียวกันเรื่อง “ความพร้อมของระบบ” ทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ก็เป็นสิ่งที่มีการพูดถึงในช่วงนั้น ว่าสิ่งที่จะนำมาใช้นั้นจะมีราคาแพงมากน้อยแค่ไหน รวมถึงความปลอดภัย ฯลฯ แต่เมื่อได้เห็นการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องของ สธ. ทั้งเรื่องคนที่ไม่ได้มีปัญหากับการใช้เทคโนโลยี หรือแม้จะมีก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตรงนี้ก็เป็นส่วนที่ทำให้ นพ.ชลน่านมองว่าจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้
“เมื่อได้มาทำงานที่กระทรวงนี้ (สธ.) มีความมั่นใจในบุคลากร ระเบียบวิธี กลไกการทำงาน หน้าที่ความรับผิดชอบ จิตสำนึกที่ถือว่าเข้มแข็งเลยมีความสบายใจ ฉะนั้นเมื่อพร้อมแล้วเติมเต็มเข้าไปในส่วนของนโยบายก็จะสามารถขับเคลื่อนได้”
ย้ำเสมอ “ระบบข้อมูล” ต้องไม่มีช่องว่าง
อย่างที่ทราบกันดี ประเทศไทยมี พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ที่มีเพื่อควบคุมไม่ให้มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ นพ.ชลน่าน ให้ความสำคัญ รวมถึงมีการพูดคุยถึงแนวทางการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติของกฎหมาย กระทั่งได้รับการยอมรับว่าสิ่งที่ สธ. จะทำนั้นสามารถคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้
“สธ. ได้ตั้งระบบขึ้นมาจะเข้ามารองรับเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการยืนยันตัวตน และขออนุญาตระหว่างผู้ให้ และผู้ใช้บริการสำหรับการให้ข้อมูล เฉพาะเจ้าของข้อมูลและผู้ได้รับความยินยอมเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้”
อีกทั้งยังรวมไปถึง “ข้อมูลเชิงระบบ” ที่ใช้การรวบรวมผ่านคลาวด์ ซึ่ง สธ. เองตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ ดูแล และป้องกันเรื่องอาชญากรรมไซเบอร์โดยเฉพาะฉะนั้นสิ่งที่ สธ. เน้นย้ำเสมอคือการนำเข้าข้อมูล รวมถึงวิธีปฏิบัติจะต้องชัดเจน และไม่เปิดช่องให้มีการรั่วไหลของข้อมูลที่มาจากความพลั้งเผลอ
นพ.ชลน่าน อธิบายอย่างตั้งใจในเรื่องของการเชื่อมต่อข้อมูลว่า ขณะนี้จากการประเมินข้อมูลมีจำนวน 29 บริษัทที่สามารถบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ (Personal Health Record: PHR) ได้ ซึ่งทำให้สามารถเลือกจังหวัดนำร่องที่จะนำไปใช้ได้ เนื่องจากมีฐานข้อมูลหลังบ้านจากระบบเดียวกัน
เมื่อต้องเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ ใน 4 จังหวัดนำร่อง สธ. จึงได้จัดวอร์รูมเพื่อเฝ้าระวัง และติดตามทุกจังหวัด ขณะเดียวกัน สปสช. ก็ยกระดับสายด่วน สปสช. 1330 ขยายการรองรับ เพื่อรับฟังเสียงจากประชาชนทั้งเสียงสะท้อนของบริการ และข้อมูลความปลอดภัยด้วย
ด้วยความเชื่อมั่นในรากฐานที่ได้วางเอาไว้ ทั้งศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเข้าใจเรื่องคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี ทำให้ สธ. กล้าที่ประกาศโรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital) ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในระบบบริการของโรงพยาบาลทั้งหมด โดยแต่ละโรงพยาบาลจะได้รับการประเมิน หากผ่าน 700 คะแนนขึ้นไปจะผ่านการประเมินในระดับเงิน หมายถึงสามารถเข้าสู่การใช้ดิจิทัลเพื่อสุขภาพได้ และหากผ่าน 900 คะแนนขึ้นไปจะผ่านการประเมินในระดับเพชร หมายถึงการลดใช้กระดาษ (Paperless) ในบริการส่วนหน้า ระบบสนับสนุน ฯลฯ
“ด้วยเหล่านี้เป็นความพร้อมที่ สธ. มองเห็นภาพ และกล้าประกาศที่จะนำมาใช้รองรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว แต่ยังต้องผ่านการนำร่อง เพราะเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนเชิงระบบ ซึ่งสิ่งที่ สธ. กังวลที่สุดนั่นคือเรื่องความปลอดภัย”
ยืนยันตัวผ่าน “หมอพร้อม” เพราะต้องการความพร้อมของข้อมูล
ในช่วงเฟสแรกของการดำเนินการ นพ.ชลน่าน ระบุถึงความพยายามที่จะให้เกิดการใช้ข้อมูลระบบเดียวกัน เพื่อให้เกิดความง่ายในการติดตาม แก้ไข และป้องกัน โดยมีการชวนประชาชนเข้ามายืนยันผ่าน แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ใน 4 จังหวัดนำร่อง เพราะส่วนนึ่งคือต้องการความพร้อมของผู้ใช้บริการ แม้ว่าจะมีข้อมูลอยู่แล้วในฐานระบบ แต่ก็จะต้องยืนยันผ่านระบบ Health ID เพื่อบันทึกข้อมูลสุขภาพ และกลายเป็นกระเป๋าสุขภาพเมื่อมีการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน รวมถึงใช้ในการนัดหมาย หรือแม้แต่การแสดงใบรับรองแพทย์ ฯลฯ ด้วย
ส่วนนี้จึงต้องเป็นสิ่งที่ต้อง “ออกแรง” พอสมควรในช่วงแรกสำหรับการให้ประชาชนเข้ามายืนยันตัวตนก่อนเข้ารับบริการ มากไปกว่านั้นจะยิ่งตอบคำถามกรณีผู้ป่วยที่ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ใน 4 จังหวัดนำร่องด้วย เพราะหน่วยบริการจะต้องดู และจะต้องตรวจสอบข้อมูล
“ในอีก 8 จังหวัดที่จะขยายออกไป สธ. จะแก้ตรงนี้ โดยปรับจากฐานข้อมูลของ สปสช. ให้อัปเดต และสามารถเชื่อมต่อกันได้ และระบบก็จะสามารถเชื่อมต่อได้เลยว่าผู้ป่วยมีสิทธิการรักษาอะไรบ้าง ซึ่งวิธีนี้จะเป็นอีกหนึ่งวิธีการแก้ไข
“การยืนยันตัวตนมีแนวทางให้หลายแนว หากไม่มีบัตรประชาชนก็สามารถรับบริการได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องจำเลข 13 หลักของตัวเองให้ได้ เพื่อที่จะใช้ระบบการยืนยันตัวตนผ่านเลข OTP ของแอปฯ หมอพร้อมเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ”
ถึงอย่างไรนั้น นพ.ชลน่าน บอกว่า ต่อไประบบจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ แม้จะมีหลายระบบก็ตาม เนื่องจากคณะทำงาน และผู้พัฒนาได้พูดคุยกันแล้ว ฉะนั้นข้อมูลในเครือข่ายไม่ว่าจะใช้ระบบใดก็จะปรับฐานเชื่อมข้อมูลกันได้
รักษาทุกที่ไม่ใช่ “ตามใจ” แต่ “เพิ่มโอกาส” ให้ประชาชน
นพ.ชลน่าน อธิบายว่า การที่ให้ประชาชนสามารถรักษาที่ไหนก็ได้นั้นไม่ได้เป็นการตามใจประชาชนเหมือนที่บางคนตั้งข้อสังเกต
รวมถึงได้มีการตอบกระทู้ถามสดของสมาชิกวุฒิสภาไปแล้ว ถึงระบบคัดกรองที่เป็นระดับจะถูกทำลาย หรือส่งเสริมแพทย์เฉพาะทางมากกว่าปฐมภูมิหรือไม่ และทำให้ประชาชนใช้บริการอย่างไม่เหมาะสมหรือไม่จากโครงการนี้ ว่าประชาชนต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด หากบริการไม่ตอบโจทย์ และไม่สามารถตอบความกังวลของประชาชนได้ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพที่ต้องมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดี เพราะนั่นเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ และความเป็นความตาย
ฉะนั้นจึงไม่ได้มองว่านโยบายนี้เป็นการ “ตามใจ” ประชาชน แต่เป็นการ “เพิ่มโอกาส” ให้ประชาชนภายใต้การพัฒนาระบบ หรือการวางแผนการให้บริการที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องสปอยล์ เพราะในระบบยังสามารถตรวจสอบกันเองได้อยู่แล้ว
“ต่อไป สปสช. อาจพิจารณาว่า โรคเดียวกันเอง หากรับบริการมากกว่า 1 ครั้งในระยะที่กำหนด อาจไม่ได้รับบริการอีกต่อไป ดังนั้น ระบบจะเข้มข้นในการตรวจสอบอย่างมาก”
ขณะเดียวกัน นพ.ชลน่าน บอกว่า 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จะเป็นการคัดกรองผู้ป่วยที่ดีหรือไม่นั้น ต้องเข้าใจก่อยว่าขณะนี้อาจจะยังเติมเต็มไม่ได้ แม้ว่าจะมี พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 ที่ระบุให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวลงชุมชน และให้เกิดเป็นแพทย์ประจำครอบครัว ซึ่งตรงนี้ก็จะต้องมีการพัฒนาเท่าเทียมกัน
“เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องวางระบบให้ดีที่สุด โดยมีระบบดิจิทัลเข้ามาช่วย ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจในการเข้ารับบริการ”
ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาตั้งต้น ตั้งแต่เรื่องการวางระบบ กระทั่งการพยายามเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ เป็นสิ่งที่ทำให้เป้าหมายของหัวเรือใหญ่แห่งกระทรวงหมอรายนี้เป็นจริงได้ เพื่อ ปลายทางของเรื่องนี้ คือให้ “ประชาชนมีสุขภาพที่ดี” และต้องได้รับการ “ยกระดับชีวิต” ตามที่ได้มีการให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต สังคม และสติปัญญา
“การมีระบบบริการเข้ามารองรับ และตอบโจทย์ทั้งการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ ทั้งในเชิงระบบ และดิจิทัลเฮลท์ที่จะเข้ามารองรับใน 4 มิติข้างต้น และเมื่อระบบสมบูรณ์ก็จะเกิดประโยชน์ในการดูแลประชาชนได้ทั้งหมด ทั้งการดูแลรายบุคคล และการเติมเต็มครอบครัว รวมไปถึงชุมชน ซึ่งเป็นภาพที่หวังเอาไว้”
อย่างไรก็ดี สธ. คำนึงถึงความเป็นธรรม และความเสมอภาคของทุกสิทธิการรักษา เมื่อพูดถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างบัตรทอง 30 บาท และประกันสังคม ซึ่ง นพ.ชลน่าน ระบุว่าอยู่ในขั้นตอนของการประสานว่าจะทำให้ทุกสิทธิการรักษาได้รับบริการที่ไม่แตกต่างกันได้อย่างไร โดยเฉพาะการใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่
แม้ว่าประกันสังคมจะดูแลผู้ประกันตนมากกว่าในมิติสุขภาพ เช่น การจ่ายเงินชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง เงินบำนาญ ฯลฯ แต่เมื่อเทคโนโลยีพัฒนามาแล้ว อาจจะแยกให้ซื้อบริการทางสังคมเฉพาะเรื่องก็ดูเป็นไปได้ โดย นพ.ชลน่าน บอกว่า หากจะเข้ามาในระบบบัตรทอง 30 บาททั้งหมด “ก็ไม่ว่ากัน”
- 533 views