ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เครือข่าย SRA หนุน ‘พรรคการเมือง’ ทำนโยบายยุติการตั้งครรภ์กรณีท้องไม่พร้อมให้เกิดผลบังคับใช้ได้จริง หลังมีกฎหมายแต่ใช้ไม่ได้ ชี้มีเพียง ‘ก้าวไกล’ ที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้


นพ.เรืองกิตติ์ ศิริกาญจนกูล นายกสมาคมพัฒนาเครือข่ายอาสา RSA ที่ขับเคลื่อนการยุติการตั้งครรภ์แบบปลอดภัย เปิดเผยกับ “The Coverage” ตอนหนึ่งว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง เกี่ยวกับประเด็นการยุติการตั้งครรภ์ของผู้หญิงไทยกรณีท้องไม่พร้อมเลย ทั้งที่ประเทศไทยมีกฎหมายอนุญาตให้ยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือท้องไม่พร้อมได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงการปฏิบัติกลับเป็นไปได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ผู้หญิงที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยโดยแพทย์ ก็เข้าไม่ถึงบริการ

นพ.เรืองกิตติ์ กล่าวว่า แม้หน่วยบริการที่รองรับการยุติการตัวครรภ์จะเป็นสิ่งที่จำเป็นตามกฎหมาย หากแต่ปัจจุบันพบว่าการเพิ่มหน่วยบริการดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ มากไปกว่านั้นการที่มีนโยบายออกมาว่าหากแพทย์สมัครใจก็สามารถให้บริการยุติการตั้งครรภ์ได้ ย่อมเท่ากับว่าหากแพทย์ไม่สมัครใจก็ไม่ทำ ที่สุดแล้วประชาชนก็ถูกปฏิเสธการให้บริการที่ปลอดภัยเป็นประจำ

"ผู้หญิงที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์ เมื่อไปยังโรงพยาบาลของรัฐ ทั้งโรงพยาบาลอำเภอ โรงพยาบาลจังหวัด ก็มักจะถูกปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่แพทย์ยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเองด้วย ปัญหาแบบนี้จะหมดไปหากมีนโยบายที่ส่งต่อมาถึงการปฏิบัติอย่างชัดเจน" นพ.เรืองกิตติ์ กล่าว

นพ.เรืองกิตติ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้้เข้าสู่บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งพบว่ามีเพียงพรรคเดียวที่ให้ความสำคัญกับการยุติการตั้งครรภ์ นั่นคือพรรคก้าวไกล ที่ติดตามข้อมูลข่าวสารรวมถึงร่วมรับฟังความคิดเห็นจากวงเสวนาต่างๆ มาโดยตลอด หรือพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งขณะที่เป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็อนุมัติกฎหมายนี้ แม้จะไม่คัดค้านแต่ก็ไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนออกมารับลูกกับข้อกฎหมาย ทำให้ผู้หญิงที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์เสียโอกาสต่างๆ ทั้งที่มีกฎหมายรองรับแล้ว

นพ.เรืองกิตติ์ กล่าวว่า สำหรับรัฐบาลต่อไปที่จะเข้ามาบริหารประเทศ อยากให้หันมาสนใจกับนโยบายเรื่องข้อปฏิบัติการยุติการตั้งครรภ์ไม่พร้อมอย่างจริงจัง รวมถึงทำให้สิทธิดังกล่าวกระจายไปถึงสิทธิข้าราชการ และประกันสังคมด้วย เพราะปัจจุบันการยุติการตั้งครรภ์จำกัดบริการอยู่ในประชาชนสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) เพียงอย่างเดียว รวมถึงควรให้สิทธิการเข้าถึงบริการกับกลุ่มแรงงานข้ามชาติ บุคคลไร้สัญชาติด้วยเช่นกัน