ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รายงานจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) นำเสนอผลงานด้านเอชไอวี (HIV) และสุขภาพในปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่านานาประเทศมีความก้าวหน้าด้านการลดความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพเอชไอวี ทั้งยังยกระดับธรรมาภิบาลในการจัดบริการสุขภาพ และส่งเสริมระบบสุขภาพในภาพรวมให้แข็งแกร่ง

รายงานชิ้นนี้ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนำเสนอผลงานของ UNDP ภายใต้ “ยุทธศาสตร์เอชไอวีและสุขภาพปี 2565-2568 สร้างอนาคตที่เท่าเทียม มีสุขภาพดี และมั่นคงยั่งยืน” โดยครอบคลุม 3 ภารกิจหลัก ได้แก่ 1. ลดความไม่เท่าเทียมและการกีดกันทางสังคมที่มีผลต่อสุขภาพและก่อให้เกิดโรคระบาด 2. ส่งเสริมธรรมาภิบาลด้านสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ 3. สร้างระบบสุขภาพที่แข็งแกร่งและมั่นคงยั่งยืน

รายงานชิ้นนี้ยกตัวอย่างความร่วมมือ แนวทางปฏิบัติงาน และการใช้นวัตกกรม ที่ส่งเสริมให้โลกเข้าใกล้เป้าหมายขจัดเอชไอวีและเอดส์ให้หมดสิ้น

ภารกิจลดความไม่เท่าเทียมและการกีดกันทางสังคม

ในทุกๆ ปีประชากรประมาณ 5.6 ล้านคน เสียชีวิตในประเทศยากจน เพราะขาดการเข้าถึงบริการสุขภาพ ความไม่เท่าเทียมนี้ส่งผลต่อการสูญเสียชีวิตมากกว่า 21,300 ชีวิตในแต่ละวัน

ในปี 2565 พบว่า 55% ของกรณีการติดเชื้อเอชไอวีใหม่ เกิดขึ้นในกลุ่มประชากรกลุ่มเสี่ยงและคู่นอน เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย คนข้ามเพศ ผู้ให้บริการทางเพศ ผู้ใช้ยาเสพติด และนักโทษ อัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ 44%

นอกจากนี้ การติดเชื้อใหม่ในกลุ่มประชากรทั้งหมดลดลงประมาณ 35% ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กลับลดลงเพียง 11% ในกลุ่มเสี่ยงและคู่นอน

นี่เกิดขึ้นเพราะความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการด้านเอชไอวี และการตีตรา กีดกันทางสังคม ความรุนแรง การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการทำให้ผู้ป่วยเป็นอาชญากรในหลายประเทศ

ขณะเดียวกัน ประชากรโลก 55% ยังไม่สามารถเข้าถึงความคุ้มครองทางสังคมในปี 2565 ทั้งยังมีช่องว่างการจัดสรรงบประมาณสำหรับการป้องกันความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีให้กับกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเผชิญกับการคุกคามจากตำรวจ การเลือกปฏิบัติทางสังคม และการขาดบริการระดับชุมชนที่เข้าถึงได้ง่าย

UNDP จึงทำโครงการทั่วโลกเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการข้าถึงบริการด้านเอชไอวี เช่นในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เกิดความร่วมมือระหว่าง UNDP และสมาคมผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติผู้ติดเชื้อ ผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศ และผู้ให้บริการทางเพศ ส่งผลให้มีผู้หญิงติดเชื้อและเหยื่อของความรุนแรงทางเพศกว่า 100 คน สามารถเพิ่มทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างรายได้

ในไลบีเรีย ก็ได้รับการสนับสนุนจาก UNDP จนสามารถทำกรอบการทำงานแห่งชาติด้านธรรมาภิบาลในการช่วยเหลือและป้องกันผู้ประสบความรุนแรงทางเพศ ทำให้ฝ่ายนโยบายมีแนวทางปฏิบัติและจัดหาทรัพยากรสำหรับดูแลกลุ่มคนนี้ พร้อมยกระดับสิทธิด้านสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์

ในปีที่ผ่านมา UNDP ยังสนับสนุนประเทศ 31 ประเทศในการดำเนินโปรแกรมคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทั้งพัฒนาศักยภาพของหลายประเทศในการทำแผนด้านสิทธิและเพศที่มีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน 

นอกจากนี้ โครงการ SCALE ภายใต้ UNDP ได้มอบทุนให้แก่ 33 องค์กรที่นำโดยผู้ติดเชื้อเอชไอวี และกลุ่มเสี่ยง เพื่อทำกิจกรรมขจัดกฎหมายและนโยบายที่เลือกปฏิบัติที่ส่งผลให้เข้าถึงบริการสุขภาพ องค์กรเหล่านี้ทำงานใน 16 ประเทศ รวมทั้ง เนปาล ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย

ภารกิจส่งเสริมธรรมาภิบาลด้านสุขภาพ

แม้ว่ากฎหมายและนโยบายในหลายประเทศ ยังกีดกันการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและกลุ่มเสี่ยง แต่ความหวังเกิดขึ้นเมื่อนานาประเทศ ให้คำมั่นสัญญาเร่งกระบวนการสร้างสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและนโยบายที่ไม่กีดกันประชากรเฉพาะกลุ่มภายในปี 2568

รายงานความก้าวหน้าที่เพิ่งออกมาเร็วๆ นี้ ระบุว่า ในปี 2565 มีจำนวนประเทศที่ยกเลิกกฎหมายลงโทษผู้มีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน มากที่สุดในรอบ 25 ปี เพราะการลงโทษและสภาพแวดล้อมที่ตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวี ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และลดการเข้าถึงและการใช้บริการสุขภาพในด้านนี้ 

UNDP ทำงานร่วมกับรัฐบาล ภาคประชาสังคม หน่วยงานภายใต้สหประชาชาติ และพันธมิตร สนับสนุนประเทศให้ทำตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระด้านเอชไอวีและกฎหมาย พร้อมสนับสนุน 96 ประเทศทั่วโลกยกระดับสิทธิที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีและวัณโรค

ในฟิลิปปินส์ UNDP ริเริ่มโครงการผู้นำและธรรมาภิบาลเพื่อยกระดับการตอบสนองต่อการระบาดของเชื้อเอชไอวี รวมทั้งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มผู้มีความหลายกหลายทางเพศ และองค์กรภาคประชาสังคม 

ในปากีสถาน UNDP ได้สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายใน 4 จังหวัด เพื่อปรับปรุงการเข้าถึงความเป็นธรรมสำหรับกลุ่มเสี่ยงและผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีรายงานว่าการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย 731 กรณี

นอกจากนี้ UNDP ยังให้การสนับสนุนงานด้านธรรมาภิบาลสุขภาพในนานาประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเกิดสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในปัจจุบัน เงินเฟ้อเพิ่มสูง และประเทศมีหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึงแนวโน้มที่รัฐบาลจะตัดงบประมาณด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะในประเทศยากจน ประเทศที่มีรายได้น้อยจัดสรรเงินทุนให้กับการจ่ายหนี้ มากถึง 1.4 เท่าของงบประมาณด้านสุขภาพ

ภารกิจสร้างระบบสุขภาพที่แข็งแกร่งและมั่นคงยั่งยืน

UNDP ส่งเสริมให้นานาประเทศสร้างระบบสุขภาพที่แข็งแกร่งและมั่นคงยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตต่างๆที่ส่งผลต่อระบบสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโรคระบาด ซึ่งล้วนแล้วเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าด้านสุขภาพและการพัฒนา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือวิกฤตโควิด-19 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคมากถึง 170,000 ราย ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา และมีการเสียชีวิตสะสมมากกว่า 2.5 ล้านราย การศึกษาแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดที่อันตรายพอๆ กับโควิด-19 ในทศวรรษหน้า นอกจากนี้ มีประชากรโลก 40% ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

UNDP ร่วมมือกับพันธมิตรในการยกระดับการตอบสนองต่อโรคร้ายแรง ก่อให้เกิดการเข้าถึงยาต้านไวรัสในประชากร 1.68 ล้านคน และการคัดกรองเชื้อเอชไอวีมากกว่า 3.1 ล้านครั้งในปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ 88 ประเทศทั่วโลกยังได้รับการสนับสนุนด้านสุขภาพดิจิทัล เช่นในประเทศมอนเตเนโกรและเซอร์เบีย UNDP ร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกและพันธมิตรระดับชาติในการสนับสนุนเครื่องมือทางสุขภาพดิจิทัล และกำหนดมาตรฐานการจัดการข้อมูล กระทรวงสาธารณสุขของประเทศยูเครนก็ได้รับความช่วยเหลือพัฒนาระบบ e-Health ที่จัดการข้อมูลและสร้างระบบสารสนเทศสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

UNDP ยังทำงานกับ 59 ประเทศในปีที่แล้ว เพื่อยกระดับการจัดการปัญหาสุขภาพ ที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ

ในประเทศเอธิโอเปีย อินเดีย และมองโกเลีย ได้รับการสนับสนุนในการพัฒนามาตรวัดการลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งนำเสนอภาระของมลพิษทางอากาศต่อเศรษฐกิจ สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม และคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในมาตรการแก้ไขปัญหานี้ รวมทั้งทบทวนมากกว่า 60 กฎหมายใน 3 ประเทศนี้ที่มีผลกระทบต่อมลพิษทางอากาศ

เฉพาะในเอธิโอเปีย ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศในบ้าน ก่อให้เกิดการสูญเสียประมาณ 3,900 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากการป่วยและเสียชีวิต หรือเท่ากับ 4% ของจีดีพีในปี 2562 ขณะที่การสูญเสียทางสิ่งแวดล้อมมีมูลค่า 2,200 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี

เอธิโอเปียและมองโกเลียได้เตรียมการประเมินสภาพกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมสำหรับสุขภาพและมลพิษ โดยเน้นช่องโหว่ในกฎหมายที่มีอยู่และวางแผนในการปฏิรูปกฎหมาย มองโกเลียได้พัฒนาแผนการกระทำทางหลากหลายส่วนเพื่อปรับปรุงสุขภาพและลดมลพิษ

นอกจากนี้ ในนามิเบีย UNDP เน้นทำโครงการ Solar 4 Health ทำให้สถานพยาบาลมากถึง 317 แห่งเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนและระบบการเตือนภัยธรรมชาติ ยกระดับบริการสุขภาพให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
------------------------------
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ทาง
https://www.undp.org/publications/hiv-and-health-annual-report-2022-2023-halfway-2030-accelerating-progress-sustainable-development-goals