ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นโยบายสำคัญของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และเป็นการตอกย้ำแบรนด์ ‘ไทยรักไทย’ หรือ ‘เพื่อไทย’ ในปัจจุบัน คือการยกระดับนโยบาย ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ ไปสู่ ‘30 บาทรักษาทุกที่’ หรือ บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ภายใต้การสนับสนุนและบริหารจัดการกองทุนโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

นโยบายนี้ เปรียบได้กับโปรเจกต์ใหญ่ที่รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยต้องทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้ได้ และถือเป็นหมุดหมายที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข (สธ.) ปักธงเอาไว้อย่างเด็ดขาดว่าจะต้องสำเร็จภายใน 100 วันแรกของการบริหารราชการแผ่นดิน

4

ภายใต้เป้าหมายคือการทำให้ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง หรือบัตร 30 บาท) สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น เพียงแค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็จะสามารถรับบริการสาธารณสุขได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วม คลินิกเอกชน ร้านยา คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกการพยาบาล คลินิกกายภาพบำบัด คลินิกทันตกรรมที่อยู่ใกล้บ้านและเข้าร่วมในระบบกับ สปสช.ได้ทั้งหมด โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

เบื้องต้นมีการเลือกพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัดเพื่อดำเนินการนโยบาย คือ ร้อยเอ็ด แพร่ เพชบุรี และนราธิวาส ก่อนขยายผลไปพื้นที่อื่นๆ 

คล้อยหลังมา 3 เดือนเศษหลังรัฐบาลบริหารงาน นโยบายนี้ผลิดอกออกผลความสำเร็จให้เห็นเป็นรูปธรรม และเมื่อเช้าวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้เลือก จ.ร้อยเอ็ด คิกออฟเปิดตัวโครงการอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อตอกย้ำความสำเร็จที่เดินหน้าขับเคลื่อนได้จริงอย่างที่ประกาศเอาไว้ 

4

ความสำเร็จของนโยบายได้รับการยืนยันจากผู้หลักผู้ใหญ่ของรัฐบาล รัฐมนตรีอีกหลายคน ตลอดจน ‘อุ๊งอิ๊ง’ - น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ บุตรสาวของ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ทำคลอดนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ได้เดินทางลงพื้นที่มาประกาศความสำเร็จด้วยตนเอง พร้อมๆ กับ นพ.ชลน่าน ตั้งแต่เช้าตรู่ที่ลานหน้าโรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด ร่วมกับประชาชนอีกหลายพันชีวิต 

แม้แต่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่ติดภารกิจในช่วงเช้า ก็ยังบินตามมาในช่วงเย็น เพื่อมาติดตามการดำเนินโครงการบัตรประชาชนใบเดียว และร่วมการเปิดตัวคิกออฟที่ จ.ร้อยเอ็ด ด้วยเช่นกัน 

1

ในงานเปิดตัว นพ.ชลน่าน ในฐานะเบอร์หนึ่งกระทรวงสาธารณสุข และยังเป็นอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้ภาพของโครงการบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ว่า เป็นหมุดหมายสำคัญของรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ที่ถือว่าเป็นสัญญาที่ให้กับประชาชนเอาไว้ ว่าจะวางระบบสาธารณสุขของประเทศใหม่ เพื่อนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชน และทำให้บัตรประชาชนใบเดียวนี้ เป็นเหมือนบัตรประกันสุขภาพ ที่ประชาชนเข้ารับบริการที่ไหนก็ได้ 

“เราต้องการให้บัตรประชาชนใบเดียว เข้ารับบริการที่ไหนก็ได้ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ทั้งสังกัด สธ. กลาโหม หรือโรงเรียนแพทย์ รวมถึงร้านยา คลินิกเอกชน คลินิกเทคนิคการแพทย์ ภายใต้การเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบเทคโนโลยี ทำให้ผู้ป่วยสามารถไปรับบริการที่ไหนก็ได้ และยังเป็นการลดความแออัดในโรงพยาบาลได้อีกด้วย” นพ.ชลน่าน ระบุ

1

เบื้องต้นโครงการบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ นำร่องก่อน 4 จังหวัด แต่ นพ.ชลน่าน ประกาศขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลัง โดยได้ระบุในงานเปิดตัวโครงการว่า ภายในเดือนมี.ค. – เม.ย. 2567 จะขยายเพิ่มอีก 8 จังหวัด ประกอบด้วย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สิงห์บุรี สระแก้ว หนองบัวลำภู นครราชสีมา อำนาจเจริญ และพังงา และจะครบทั้งประเทศภายในปี 2567 นี้  

ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ระบุว่า บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ จะเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับประชาชน เป็นการยกระดับจากที่เราเคยทำเอาไว้เมื่อ 22 ปีก่อน ที่พัฒนาตามยุคสมัย และใช้เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบ ดีใจอย่างมากที่เห็นความก้าวหน้าของนโยบาย เพราะจะทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนในการเข้าถึงบริการสุขภาพดีมากขึ้น 

4

เธอย้ำด้วยว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้ของรัฐบาล เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่ารัฐบาลชุดนี้สามารถต่อยอดความสำเร็จของบัตร 30 บาทที่แต่เดิมเคยดำเนินการมาในยุคของนายทักษิณ ชินวัตรให้ดียิ่งขึ้นได้ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ กำลังของบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการได้อย่างดี ทำให้มีกำลังใจและเชื่อได้ว่า โครงการนี้จะสามารถช่วยเหลือประชาชนในด้านสุขภาพได้ทั่วประเทศในอนาคต 

ทางด้าน นายเศรษฐา กล่าวถึงความความสำคัญของการยกระดับหลักประกันสุขภาพของประเทศในวันเปิดตัวโครงการว่า โครงการบัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล และยังเป็นนโนบายเน้นหนักของกระทรวงสาธารณสุข ในการให้ความสำคัญสำหรับการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน ผ่านการยกระดับการบริการสาธารณสุข ที่ทำให้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ รวมถึงบริการสุขภาพแบบใหม่ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมด้วย ทั้งการเชื่อมข้อมูล การนัดพบแพทย์ออนไลน์ การแพทย์และเภสัชกรรมทางไกล เป็นต้น 

1

“ผมหวังว่า ทั้งภาครัฐ เอกชน สภาวิชาชีพต่างๆ ประชาชน และ อสม. ทั้งในจังหวัดร้อยเอ็ดและอีก 3 จังหวัดนำร่อง ที่ช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้สำเร็จเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพของคนไทย และแน่นอนว่าจะมีการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไปทั่วประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

สำหรับนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากหน่วยบริการทุกระดับและทุกสังกัด อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์และสุขภาพ พร้อมทั้งลดภาระการดําเนินงานของบุคลากร และเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพ โดย “นำเทคโนโลยีดิจิทัล” ที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบบริการ และ ระบบสนับสนุนการให้บริการ

4

จุดเด่นของนโยบาย คือจะมีการดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของหน่วยบริการทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่สมัครใจทั่วประเทศ ให้เป็นระบบเดียว และสามารถ ให้บริการสุขภาพในรูปแบบดิจิทัล ควบคู่ไปกับการพัฒนาโรงพยาบาลเป็นโรงพยาบาล อัจฉริยะ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของข้อมูลสุขภาพ

บัตรประชาชนใบเดียวนี้จะเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชน ผ่าน Health ID บนมาตรฐานการพิสูจน์ตัวตนและยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (IAL และ AAL) อำนวยความ สะดวกให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนําไปใช้เป็นพื้นฐานในการเพิ่มประสิทธิภาพ การรองรับสถานการณ์สุขภาพของประชาชน ให้ผู้รับบริการเข้าถึงบริการในทุกพื้นที่ ทุกหน่วยบริการ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลของรัฐ เอกชน รวมไปถึงคลินิก และร้านยา ใกล้บ้าน โดยถือว่า “บัตรประชาชน เปรียบเสมือนบัตรสุขภาพ” ของคนไทยทุกคน 

4

จากนโยบายนี้ ประชาชนจะเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ง่าย สะดวกสบายยิ่งขึ้น ลดระยะเวลารอคอย โดยประชาชนสามารถนัดหมายเข้ารับบริการผ่านระบบออนไลน์ เข้ารับบริการการแพทย์และเภสัชกรรมทางไกลจากที่บ้าน เลือกรับยาทางไปรษณีย์ ร้านยาใกล้บ้าน หรือใช้บริการ Health Rider เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับยาและ เวชภัณฑ์ถึงบ้าน 

นอกจากนี้ สามารถรับบริการตรวจเลือด ที่ร้านแล็บใกล้บ้าน โดยไม่ต้องเสียเวลา เสียค่าเดินทางมายังโรงพยาบาล ลดภาระงานของบุคลากรที่ซ้ำซ้อน เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพแบบไร้รอยต่อ ผู้ให้การรักษาสามารถเรียกดูประวัติการรักษาออนไลน์ที่เชื่อมโยงข้อมูลการรักษาจาก ทุกหน่วยบริการที่ผู้ป่วยเคยเข้ารับการรักษาเพิ่มความถูกต้อง แม่นยำ ทันเวลา เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการดูแลรักษาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย