ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 วันอนามัยโลกคือวันก่อตั้งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization ตัวย่อ WHO) เป็นหน่วยงานของสหประชาชาติ โดยการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจและสังคมขององค์การสหประชาชาติก่อตั้งเมื่อ 7 เมษายน พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ครบรอบการก่อตั้ง 70 ปี ในปีนี้ (พ.ศ.2561) มีสมาชิกจำนวน 194 ประเทศทั่วโลก

มีบทบาทเป็นหน่วยงานระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่ดูแลและคอยประสานงานด้านการสาธารณสุข เพื่อคุ้มครองและส่งเสริมสุขภาพอนามัยของประชาชนทั่วโลก

การประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ได้ประกาศให้วันที่ 7 เมษายนของทุกปี เป็นวันอนามัยโลก (World Health Day) โดยในแต่ละปีจะมีการกำหนดหัวข้อประเด็นหลักด้านสุขภาพเพื่อรณรงค์ให้ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญและร่วมกันสนับสนุน ภายใต้วิสัยทัศน์ “Health For All” หรือ “สุขภาพดีถ้วนหน้า” สำหรับปี 2561 (ค.ศ 2018) หัวข้อหลักของปีนี้ คือ เรื่อง Universal Health Coverage: Everyone, Everywhere หรือ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อทุกคนทุกหน ทุกแห่ง” เพื่อช่วยสนับสนุนขับเคลื่อนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage ตัวย่อ UHC) หมายถึงปัจเจกบุคคลและประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นเมื่อต้องการ โดยไม่ล้มละลายจากการค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล

องค์การอนามัยโลกได้ตระหนักว่า ประสบการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ทุกประเทศ เป้าหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน ดังนั้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 เมษายนเป็นต้นไป องค์การอนามัยโลกถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของการรณรงค์เป้าหมายสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งองค์การอนามัยโลกจะ

1) สร้างแรงบันดาลใจ ให้เห็นถึงพลังของผู้นำการตัดสินใจทางนโยบายในการเปลี่ยนแปลงภาวะสุขภาพของประเทศตนเอง

2) สร้างแรงจูงใจ จากตัวอย่างของประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และส่งเสริมให้แสวงหาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับประเทศตนเอง  

และ 3) กำหนดแนวทางการดำเนินงาน โดยการเตรียมเครื่องมือสนับสนุนทางนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภายในประเทศ หรือการสนับสนุนการขับเคลื่อนในประเทศอื่น ๆ ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้องค์กรเครือข่าย ประเทศต่าง ๆ และ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เกิดความมุ่งมั่นการพัฒนาสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ประเทศไทยผู้นำในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ความสำเร็จในการสร้างหลักประกันสุขภาพของไทยซึ่งได้พิสูจน์ให้นานาชาติเห็นแล้ววว่า ประเทศไทยที่มีรายได้ต่อหัวประชากรในระดับปานกลาง สามารถสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชากรได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2545 ขณะที่ประเทศไทยมีรายได้ประชาชาติเพียง 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวประชากร

ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ใน 3 มิติ คือ

1.ความครอบคลุมประชากรของระบบประกันสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันจำนวนประชากร้อยละ 99.99 ของประเทศไทย มีหลักประกันสุขภาพและสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็นต่อสุขภาพได้

2.สิทธิประโยชน์ครอบคลุมอย่างกว้างขวางทั้งด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรค และการฟื้นฟูสุขภาพ ร่วมทั้งการรักษาพยาบาลที่ราคาแพงจำนวนมาก

3.การปกป้องครัวเรือนจากการรักษาพยาบาลต้องยากจนเพราะค่ารักษาพยาบาล

นอกจากนี้ หลักฐานเชิงประจักษ์ได้แสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์สำคัญของการดำเนินงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือ การทำให้คนยากจนในเมืองและชนบท รวมทั้งประชาชนที่อาศัยในถิ่นทุรกันดารสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิเคราะห์ด้านสิทธิประโยชน์ ที่พบว่าการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยนั้นเป็นการดำเนินงานให้คนจนได้มีโอกาสเข้าถึงบริการมากขึ้น และทรัพยากรของภาครัฐกระจายไปสู่ประชากรที่ยากจนเพิ่มมากขึ้น

ปัจจัยสำคัญ 2 ประการที่ส่งผลลัพธ์ดังกล่าว คือ

1.การมีระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศจนถึงระดับชุมชนและหมู่บ้าน จากการที่รัฐบาลได้ลงทุนด้านโครงสร้างและกำลังคนด้านสุขภาพในสามทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม

2.การกำหนดสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมที่ด้านโดยไม่ต้องมีการร่วมจ่าย ณ จุดบริการ ซึ่งทำให้ลดรายจ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือน ลดภาวะการล้มละลายจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและป้องกันครัวเรือนไม่ให้ประสบภาวะความยากจนจากค่ารักษาพยาบาล

บัตรประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยครอบคลุมร้อยละ 75 ของประชากรทั่วประเทศ มีชุดสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทุกด้าน สามารถดำเนินงานตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรร เนื่องจากใช้วิธิการบริหารงบประมาณแบบปลายปิดและจ่ายจ่าบริการโดยวิธีผสมผสาน คือใช้อัตรเหมาจ่ายรายหัวสำหรับกรณีผู้ป่วยนอก และจ่ายเงินชดเชยให้กับสถานพยาบาลตามภาระโรค (DRG)  สำหรับผู้ป่วยในและค่ารักษาที่มีราคาแพง  ซึ่งวิธีนี้ มีประสิทธิผลในการควบคุมค่าใช้จ่ายเป็นอย่าง และพบว่าผู้ป่วยและประชาชนทั่วไปมีความพึงพอใจต่อการให้บริการภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ร้อยละ 82-96 จากการสำรวจในปี 2546 ถึง 2560

ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ที่ดำเนินงานภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสถานพยาบาลที่ไม่หวังผลกำไร  และโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยบริการหลักประเทศ บุคลกรสาธารณสุข ผู้ซึ่งทำงานอย่างเสียสละเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการสร้างหลักประกันสุขภาพดังกล่าว

จากความสำเร็จด้านผลลัพธ์สุขภาพ (outcome) โดยเฉพาะปัจจุบันประชาชนไทยมีอายุค่าเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดเพิ่มขึ้นเป็น 74 ปี อัตราตายของทารกเพียง 12.3 ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศคิดเป็น ร้อยละ 4.6 ของผลิตภัณธ์มวลรวมในประเทศ  นับว่าระบบสุขภาพของไทยมีประสิทธิภาพและถูกจัดให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีรายได้ปานกลางที่มีระบบสุขภาพที่ดีที่สุด

ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์จากการดำเนินงานด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเฉพาะการลดภาวะความยากจนจากการล้มละลายจากรายจ่ายด้านสุขภาพ และทำให้ประเทศไทยไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านสุขภาพ เนื่องจากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากภาครัฐอย่างเพียงพอ และต่อเนื่อง

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับนานาประเทศในหลายด้าน  เช่น ยุทธศาสตร์การจัดซื้อและการจ่ายค่าบริการสุขภาพ การติดตามและตรวจสอบคุณภาพ  การให้บริการทางการแทพย์ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความเข้มแข็งของระบบบริการปฐมภูมิ การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาสุขภาพ การประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ และการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล

ไทยยังได้จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมด้านการดำเนินงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีการออกแบบให้เหมาะสมกับการจัดทำนโยบาย และได้จัดทำคู่มือสำหรับการดำเนินงานและปฏิบัติการ ประสบการณ์จริงของไทยในด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและด้านที่เกี่ยวข้องได้ถูกถ่ายทอดให้ผู้ที่มาศึกษาดูงานตามศูนย์เรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข และโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและญี่ปุ่น เป็นผู้จัดทำโปรแกรมการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้ โดยเน้นการเสริมสร้างศักยภาพของการดำเนินงานหลักประกันสุขภาพที่ยั่งยืน.