ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

‘เครือข่ายงดเหล้า’ ชี้ รัฐบาลฟังแต่เสียงธุรกิจ ยก 8 ข้อปลดล็อกกฏหมายคุมน้ำเมา ดันขายเหล้า - เบียร์เสรีมากขึ้น เมินผลกระทบทางสังคม-ชีวิตคน  


จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลส่งสัญญาณตีตกร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับของภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับของประชาชนเบียร์ ผู้ผลิตรายย่อย และฉบับของพรรคก้าวไกล และจะส่งร่างแก้ไข พ.ร.บ.ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมข้อเสนอแนะ 8 ประการเพื่อเปิดทางให้ค้าขายเหล่าเบียร์ได้เสรีมากขึ้น เข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรเร็วๆ นี้

ล่าสุด นายธีระ วัชรปราณี ผู้อำนวยการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า ในฐานะที่ตนทำงานด้านการควบคุมแอลกอฮอล์มากว่า 20 ปี และเป็นหนึ่งใน 13 ล้านรายชื่อที่ร่วมสนับสนุน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2551 การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีประชุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา และเลขานายกรัฐมนตรี ได้ชงข้อเสนอ 8 ข้อ ที่มีเนื้อหาทำให้กฎหมายฉบับนี้อ่อนแอลง ลดทอนอำนาจการบังคับใช้กฎหมายและเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจน้ำเมาและร้านเหล้าผับบาร์อย่างเห็นได้ชัด 

นายธีระ กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่หมวดนิยามการสื่อสารการตลาด จนถึงการให้โฆษณาออนไลน์ได้ ให้ลดราคาส่งเสริมการขายได้ ขยายเวลาขายให้ถึง 24 ชั่วโมง เรียกว่าค้าขายกันแบบเสรีมากขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างสิ้นเชิง หากเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายควบคุม แก้กฎหมายเอาใจนายทุน ธุรกิจ คนรับกรรมคือประชาชน 

ตัวอย่างเช่น รายล่าสุดที่เป็นข่าวคือคนปั่นจักรยานถูกคนเมาแล้วขับชนตาย 2 ศพที่ จ.สุรินทร์ หลังจากกินดื่มมาจากสถานบริการที่ตั้งอยู่ในโรงแรมที่รัฐบาลนี้อนุญาตให้ขายได้ถึงตี 4 ซึ่งต่อไปเราคงได้เห็น นักวิ่ง คนเดินถนน  คนกวาดถนน นักเรียนที่เดินทางไปกลับโรงเรียน พ่อค้าแม่ค้า หรือแม้แต่พระบิณฑบาตก็อาจจบชีวิตหรือพิการตามมาอีกมาก

นายธีระ กล่าวอีกว่า ทราบมาว่า นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เสนอ ปรับลดมาตรการควบคุมสำคัญๆ ถึง 8 ประเด็น ในร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของ สธ. ที่จะส่งเข้าสภาฯ เหมือนไม่ได้มองรอบด้านในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำในหนังสือ Saving Live, Spending Less : The case for investing NCDs  ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ การควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ ทั้งแอลกอฮอล์ บุหรี่ สารเสพติดต่างๆ ซึ่งหากรัฐบาลลงทุนแล้ว ผลตอบแทนที่เรียกว่า Return of investment จะคุ้มค่ามหาศาล 

ทั้งนี้ การศึกษาพบว่า ถ้าลงทุน 1 ดอลลาร์ ในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะได้ผลตอบแทน 8.32 ดอลลาร์ หรือลงทุน 35 บาท ได้ผลตอบแทนเกือบ 300 บาท ซึ่งเป็นการลงทุนทางเศรษฐกิจระยะยาวที่ยั่งยืนกว่า แต่รัฐบาลกลับเลือกผลตอบแทนระยะสั้น อ้างความต้องการจะให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มสะดวก โดยไม่พูดว่าแล้วผลกระทบที่จะตามมาจะแก้อย่างไร ทุกวันนี้รัฐบาลขาดทุนจากค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์กว่า 2 หมื่นล้านบาท จากที่เก็บภาษีได้ 1.4 แสนล้านบาท แต่ค่าความเสียหายกว่า 1.6 แสนล้านบาท 

“รัฐบาลกำลังเดินทางผิดบนความสูญเสีย เลือดเนื้อชีวิตของประชาชน คงต้องให้ประชาชนตัดสินใจเอาเองว่า เราจะปล่อยให้เหล้าเบียร์เหมือนกับกัญชา กระท่อม ที่เกลื่อนเมืองกันอยู่ตอนนี้หรือ เหล้าเบียร์มีกฎหมายรองรับควบคุมมาอยู่แล้ว น่าจะรักษาและทำให้ดีขึ้น แต่กลับมาปลดล็อกให้เสรีเอาใจนายทุนแบบนี้ไม่ควรทำ” นายธีระ กล่าว