ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

‘เครือข่ายลดอุบัติเหตุ’ จี้รัฐทวนนโยบายขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หวั่นหากเดินหน้า จะนำมาซึ่งความความสูญเสียอุบัติเหตุทางถนน - เด็กและเยาวชนกลายเป็นเหยื่อ – เกิดปัญหารุนแรงเสี่ยงฆ่าตัวตาย 


จากการที่ได้มีนโยบายได้มีนโยบายให้เปิดสถานบริการที่ตั้งอยู่ในโรงแรมและสถานบริการที่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่ จ.กรุงเทพมหานคร (กทม.) จ.ภูเก็ต จ.ชลบุรี จ.เชียงใหม่ และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ให้เปิดบริการได้ถึง 04.00 น. และมีแนวโน้มว่าจะกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศเพิ่มขึ้นอีก โดยให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการขยายกำหนดเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารทั่วไปให้สอดคล้องกับเวลาเปิดปิดของสถานบริการที่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่นำร่องดังกล่าวนั้น 
  
นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) เปิดเผยว่า ผู้เกี่ยวข้องต้องทบทวนและพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาให้มาก เพราะผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ ทั้งที่เป็นผลกระทบทางตรงที่มีต่อสุขภาพร่างกาย และผลกระทบทางอ้อมในเรื่องความสูญเสียจากเศรษฐกิจและสังคม ทั่วโลกรับรู้และต่างก็มีความพยายามจะแก้ไขปัญหากันมาอย่างยาวนาน องค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงกับเสนอให้ทุกประเทศหาทางแก้ไขปัองกัน นักวิจัยนานาชาติ ชี้ปัญหาดื่มสุรากระทบรุนแรงถึงขั้นฆ่าตัวตาย เด็กเยาวชนตกเป็นเหยื่อ 

นายพรหมมินทร์ กล่าวว่า นักวิจัยวิทยาศาสตร์สารเสพติดนานาชาติ ชี้ว่าปัญหาจากการดื่ม สร้างผลกระทบรุนแรง รัฐต้องมีส่วนร่วมวางนโยบายที่เข้มแข็ง ห่วงเด็กและเยาวชนกลายเป็นเหยื่อ ปัญหารุนแรงถึงขั้นเสี่ยงฆ่าตัวตาย  ซึ่งการออกกฎหมายจำกัดอายุ คุมเวลาขาย ห้ามโฆษณา ช่วยลดปัญหาลง 35%  ผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม การมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากจากการดื่มไม่ว่าจะเกิดจากเหตุทะเลาะวิวาท อุบัติเหตุทางถนน อาชญากรรม ทำให้กระทบการรักษาผู้ป่วยจากการเจ็บป่วยโรคอื่นๆ เตียงเต็ม โรงพยาบาลไม่พอ บุคลากรไม่พอ และยังใช้งบประมาณดูแลผู้ป่วยเหล่านี้จำนวนมาก จนส่งผลกระทบต่องบประมาณด้านสาธารณสุข กระทบครอบครัว เช่น รายได้ครอบครัว ความรุนแรงในครอบครัว 

นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความเครียดและผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทำให้นอกจากการวางแผนแก้ปัญหาเรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังต้องดูแลเรื่องการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อทำให้คนหลุดพ้นจากปัญหาความยากจนอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับ ดร.ชิด ซู ทินน์ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ศึกษาเรื่องการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเยาวชน มีผลกระทบต่อสุขภาพจิต มีการเก็บกลุ่มตัวอย่างในเยาวชนอายุ 15-23 ปี จำนวน 1,538 คน ในโรงเรียน 6 แห่ง จากทุกภาคของไทย

ทั้งนี้ พบว่าเยาวชนไทยมีปัญหาที่เกิดจากการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากปี 2551 อยู่ที่ 14.8% เพิ่มขึ้นเป็น 22.2% ในปี 2558 พบปัญหาเกิดจากการที่เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ส่งผลให้เด็กมีโอกาสที่จะกลายเป็นนักดื่ม และมีปัญหาทางสุขภาพจิต และเชื่อมโยงกับการติดพนัน และใช้สารเสพติด โดยวัยรุ่นต้องเผชิญกับปัญหาที่มาจากอารมณ์ จนกระทบไปถึงปัญหาสังคม และสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผลการเรียนตกต่ำ ปัญหาความพยายามฆ่าตัวตาย ปัญหาทางสุขภาพอื่น 

ผู้อำนวยการ สคอ. กล่าวต่อไปว่า เหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ภาครัฐควรมีโปรแกรมสำหรับดูแลคนรุ่นใหม่ เยาวชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักและรู้เท่าทันอารมณ์ตนเองมากขึ้น เพื่อให้สามารถยับยั้งชั่งใจ ควบคุมตนเองได้ จึงจำเป็นต้องสร้างหลักสูตรการเรียนรู้สำหรับเยาวชนให้เท่าทันต่อผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การเจ็บป่วยทางสุขภาพจิต การพนัน และการใช้สารเสพติด

นายพรหมมินทร์ กล่าวอีกว่า จากผลกระทบดังกล่าวนี้ หากรัฐยังคงดื้อด้านคิดจะขยายเวลาขายน้ำเมาก็เท่ากับว่ามองไม่เห็นความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย มองไม่เห็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับคนไทยอย่างต่อเนื่อง มองไม่เห็นความทุกข์ทรมานของผู้ที่ได้รับผลกระทบและต้องสูญเสียคนในครอบครัว เพียงเพราะต้องการกระตุ้นส่งเสริมทางเศรษฐกิจ ทั้งๆที่ขาดโครงสร้างการบริหารจัดการรับมือกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
 
“ปัจจุบันนี้เกิดความเสื่อมในสังคมไทยที่มีความสัมพันธ์กับน้ำเมา เช่น อุบัติเหตุทางถนน การเสียชีวิต บาดเจ็บ และพิการ ทำให้ครอบครัวล่มสลาย เกิดเหตุทะเลาะวิวาท ฆ่าข่มขืน คดีอาชญากรรม ศีลธรรมตกต่ำ   ยาเสพติด การพนันและอีกมากมาย เราต้องช่วยกันส่งสัญญาณแรงๆ ให้กับรัฐบาล อย่าคิดเพียงหาเม็ดเงิน อย่าคิดจะแลกชีวิตคนไทยกับน้ำเมา” นาย พรหมมินทร์ กล่าว