ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“มะเร็งปอด” ยังคงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 ของคนไทย (ในผู้ชายรองจากมะเร็งตับและเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิง) โดยในในปี 2565 มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งปอดในประเทศไทย

มากไปกว่านั้น การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดในระยะแรกยังทำได้ยาก นั่นจึงทำให้มีอัตราการเสียชีวิตสูง ซึ่งผู้ป่วยมากกว่าครึ่งที่ตรวจพบมักจะเจอในระยะลุกลาม เนื่องจากอาการของโรคมักไม่มีอาการส่งผลทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยล่าช้า

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่สามารถรักษาแต่กลัวการผ่าตัด เนื่องจากในยุคเริ่มต้นของการผ่าตัดปอดนั้น ได้ริเริ่มทำโดยการเปิดช่องอก ซึ่งมีความจำเป็นในการที่ต้องตัดกล้ามเนื้อหลายมัดและถ่างขยายกระดูกซี่โครงในการเข้าไปทำการผ่าตัดจึงทำให้ผู้ป่วยค่อนข้างกังวลและเกิดอาการกลัวในการรักษาโรคมะเร็งปอด

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการผ่าตัดปอดได้มีการพัฒนาโดยเฉพาะการผ่าตัดส่องกล้อง ส่งผลทำให้การผ่าตัดปอดนั้นเป็นการผ่าตัดที่ปลอดภัย โดยในผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวโอกาสที่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงนั้นมีน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์

ผศ.นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ทรวงอกเฉพาะทางด้านผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล อธิบายว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การผ่าตัดส่องกล้องโรคมะเร็งปอดในประเทศไทยพัฒนาไปมาก โดยมีการใช้กล้องวิดีทัศน์เข้ามาช่วยในการผ่าตัด (Video assisted thoracosocpic surgery;VATS) ซึ่งแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร และมีรูเล็กๆ ขนาด 1 ซม. อีก 1-3 รู เพื่อใส่กล้องและอุปกรณ์ช่วยผ่าตัดโดยเลือกใช้ในกรณีที่ก้อนเนื้องอกขนาดไม่ใหญ่มาก และไม่กดเบียดอวัยวะข้างเคียง

ส่วนนี้ก็จะช่วยให้ปวดแผลน้อยลง ผู้ป่วยจะสามารถฟื้นตัวเร็วขึ้นและหลีกเลี่ยงแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ โดยพัฒนาการผ่าตัดส่องกล้องปอดนั้น ในปัจจุบันที่สามารถผ่าตัดโรคมะเร็งปอดผ่านการส่องกล้องแบบจุดเดียว คือขนาดแผลเล็กประมาณ 3.5 เซนติเมตร เพียงแค่ตำแหน่งเดียว ซึ่งลักษณะของการผ่าตัด สามารถทำได้ตั้งแต่การตัดปอดแบบลิ่ม (Wedge Resection) เป็นการตัดเนื้องอกพร้อมกับเนื้อปอดข้างเคียงออกเป็นรูปลิ่ม การตัดปอดแบบกลีบ (lobectomy) จนไปถึงการตัดปอดที่มีเนื้องอกทั้งข้าง (pneumonectomy) ผ่านการส่องกล้องได้

นอกจากนี้ ก่อนที่จะทำการผ่าตัดนั้น จะต้องมีการฝึกสอนกระบวนการฟื้นตัวไวระหว่างการผ่าตัดเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน หรือ ที่เราเรียกว่า (enhanced recovery after surgery;ERAS) โดยกระบวนการนี้จะส่งผลทำให้ผู้ป่วยได้รับผลการรักษาที่ดี โดยจะเริ่มตั้งแต่ก่อนผ่าตัด เช่น การให้ความรู้เรื่องโรค และการพยากรณ์โรคของมะเร็งปอด การฝึกสอนด้านกายบริหารระหว่างการผ่าตัด การเข้าสู่การบำบัดลดบุหรี่ก่อนการผ่าตัด

ขณะเดียวกันหลังจากผ่าตัดก็จะมีการทำกายภาพบำบัดเพื่อทำให้ผู้ป่วยกลับมาลุกนั่งและใช้ชีวิตหลังจากการผ่าตัดให้เร็วที่สุด เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดอีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับการผ่าตัดส่องกล้องมะเร็งปอดในปัจจุบันนั้น สามารถทำการผ่าตัดส่องกล้องผ่านช่องระหว่างซี่โครง โดยที่ขนาดแผลผ่าตัดมีเพียงแค่ 3.5 เซนติเมตร เท่านั้น ซึ่งเทคโนโลยีการผ่าตัดประเภทนี้จะส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีการฟื้นตัวได้ไว แผลเจ็บน้อยลง และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วมากขึ้นกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม

“สำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ หลังจากการผ่าตัดอาจจำเป็นต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานประมาณ 3 วัน หลังจากการผ่าตัด ผู้ป่วยจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น เดินเข้าห้องน้ำ หรือ ทำงานบ้าน เมื่อคล่องขึ้นก็จะสามารถทำกิจวัตรนอกบ้านได้ ส่วนการออกกำลังกายจะสามารถทำได้ใกล้เคียงหลังพ้นช่วงฟื้นตัวหลังจากการผ่าตัด” ผศ.นพ.ศิระ ระบุ