ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล วิเคราะห์ปม "พ่อฆ่าลูก" พบสูงขึ้นจากหลายทัศนคติทั้ง "ชายเป็นใหญ่-ลูกคือสมบัติ" ขณะที่แนวคิด "ครอบครัวสมบูรณ์" ทำผู้หญิงยอมจำนนปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ด้าน "ทิชา"กระตุกสังคมอย่าเมินเฉย ลั่นทุกคนมีส่วนบ่มเพาะความรุนแรง


น.ส.อังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เปิดเผยถึงเหตุการณ์พ่อเลี้ยงทำร้ายร่างกายลูกเลี้ยงจนถึงแก่ชีวิตที่ จ.สระบุรี โดยระบุว่า สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวขณะนี้มีแนวโน้มพบได้มากขึ้น ทั้งความรุนแรงทางร่างกาย และละเมิดทางเพศ โดยส่วนใหญ่ประมาณ 80% เป็นกรณีสามีทำร้ายภรรยา ส่วนกรณีสามีฆ่าลูกก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลจากข่าวที่มีการเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ในช่วงปี 2559 พบข่าวพ่อเลี้ยงฆ่าลูกเลี้ยงถึง 9 เหตุการณ์ ขณะที่ข่าวพ่อแท้ๆ ฆ่าลูก 8 เหตุการณ์ ส่วนในปี 2561 พบข่าวพ่อเลี้ยงฆ่าลูกเลี้ยง 12 เหตุการณ์ พ่อแท้ๆ ฆ่าลูก 13 เหตุการณ์ รวมแล้ว 25 เหตุการณ์ จึงเห็นได้ว่ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆ หรือพ่อเลี้ยงเป็นผู้กระทำก็ตาม และเมื่อดูในรายละเอียดลักษณะการก่อเหตุมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย

น.ส.อังคณา กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุด ยังพบว่าสังคมมุ่งเป้าโจมตีไปยังผู้หญิงที่เป็นแม่ ซึ่งหากฟังจากคำให้การที่เจ้าตัวระบุว่าพยายามรักษาความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ มีพ่อ แม่ ลูก วิธีคิดเช่นนี้ทำให้เวลาผู้หญิงหลายคนถูกกระทำความรุนแรง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตนเองหรือลูก ทั้งการทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งข่มขืน ก็ยังต้องอดทนอยู่กับปัญหาต่อไป

น.ส.อังคณา กล่าวอีกว่า ดังนั้นต้องตั้งคำถามกับสังคมด้วยว่าการหล่อหลอมวิธีคิดเช่นนี้ รวมถึงการหล่อหลอมทัศนคติชายเป็นใหญ่ และทัศคติที่ท่องว่าลูกเป็นสมบัติ พ่อแม่เป็นเจ้าของชีวิต และความเชื่อที่ว่าการทำความรุนแรง ลงโทษนั้นทำไปเพราะความรัก ความเชื่อเหล่านี้ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว โดยที่ผู้กระทำไม่ทันคิดว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่ทำไปเพราะความรัก และข่าวล่าสุดนี้ก็พบด้วยว่ามีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงด้วยเช่นกัน

"ผู้หญิงหลายคนมีสถานะที่ต้องพึ่งพาผู้ชาย รู้สึกว่าการมีครอบครัวสมบูรณ์จึงต้องอดทน ทำให้ผู้หญิงหลายคนยอมจำนนต่อปัญหา แต่จริงๆ แล้วควรลุกมาจัดการความสัมพันธ์ เพื่อปกป้องตัวเองและลูก เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายถึงขั้นเสียชีวิตของใครก็ตาม ซึ่งการลุกขึ้นมานั้นเข้าใจว่ายาก แม้มีกลไกลขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ อยู่ แต่อีกปัญหาคือการแจ้งความยังมีข้อจำกัดเหมือนเดิม โดยเฉพาะทัศนคติของตำรวจในการมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว" น.ส.อังคณา กล่าว

ด้าน นางทิชา ณ  นคร ที่ปรึกษามูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่า ค่านิยมภายใต้ระบบสังคมชายเป็นใหญ่ ได้พรากชีวิตเด็กที่บริสุทธิ์ไปนับไม่ถ้วน และทุกครั้งที่เกิดความสูญเสีย จะมีเสียงเกรี้ยวกราดต่อผู้กระทำและผู้ไม่ได้กระทำ แต่ไม่ปกป้องเด็กอย่างสมเหตุสมผล พอเวลาผ่านไปการส่งเสียงจะน้อยลง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์แบบเดิมขึ้นอีก เป็นการวนลูปเช่นนี้ซ้ำซาก

"ปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว หรือความรุนแรงต่อเด็กอยู่ตลอดนั้น เพราะสังคมมีการยอมรับการใช้ความรุนแรง ด้วยการมองว่าเป็นเรื่องผัวเมีย, คนนอกไม่เกี่ยว, เป็นเรื่องในครอบครัว, เป็นเรื่องลิ้นกับฟัน, เดี๋ยวก็ดีกัน อย่าเข้าไปยุ่งเปลืองตัว เพราะฉะนั้นทุกๆ คน จึงเป็นส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงนี้ไปด้วยกัน" นางทิชา กล่าว

นางทิชา กล่าวว่า ดังนั้นต้องไม่นิ่งเฉยต่อความรุนแรง ต้องหาทางช่วยเหลือแจ้งประสานหน่วยที่เกี่ยวข้อง และแน่นอนว่าคนทำผิดต้องไม่ลอยนวล กฎหมายต้องศักดิ์สิทธ์ ผู้เสียหายต้องได้รับความยุติธรรมเสมอภาค เท่าเทียม และไม่มีเงื่อนไข