ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เราต่างตระหนักกันดีว่าขณะนี้ ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุ" (Aging Society) อย่างเต็มตัว ตอกย้ำด้วยกราฟอัตราการเกิดใหม่ของเด็กไทย ที่ค่อยๆ ทิ้งดิ่งลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ตัวเลขจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้ให้เราเห็นแล้วว่าในปี 2563 ประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี นับเป็นสัดส่วนถึง 18% ของประเทศ และจากนั้นในปี 2573 ประชากรไทยถึง 42% จะเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขณะที่ในปี 2583 หรืออีก 20 ปีข้างหน้า ประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปี จะมีสัดส่วนมากถึง 1 ใน 3 ของประเทศ

แน่นอนว่าในเชิงเศรษฐกิจ เรื่องนี้กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต เมื่อประชากรวัยแรงงานมีจำนวนลดลง สวนทางกับจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่ต่างกับในเชิงของสุขภาพ ที่การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นย่อมสร้างความท้าทายที่เพิ่มขึ้นต่อระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะในด้านของค่าใช้จ่าย ที่สวนทางกับรายได้ของประเทศ

จากข้อมูลของ Global Health Expenditure Database ระบุว่า ในปี 2561 สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศไทยคิดเป็น 3.8% ของจีดีพี ซึ่งยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงมาก แต่ตัวเลขนี้ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก่อนประเทศไทย เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพคิดเป็น 10.7% ของจีดีพี

ดังนั้นการที่ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมสามารถสนับสนุนให้ประชากรสูงวัยสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไม "การดูแลตนเอง" (Self-Care) จึงควรจะเป็นประเด็นสำคัญของประเทศไทย

ดูแลสุขภาพตนเอง ลดภาระสาธารณสุข

การดูแลตนเอง หรือ Self-Care คือการที่ประชาชนมีความรู้ความสามารถในการดูแลสุขภาพและสุขอนามัยเบื้องต้นด้วยตนเอง และสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นว่า สามารถรักษาอาการของโรคในขณะนี้ได้หรือไม่ หรือมีความจำเป็นต้องไปพบแพทย์

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือการลดภาระและการใช้ทรัพยากรในระบบสาธารณสุขโดยรวม ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้เวลาและความเชี่ยวชาญที่มีไปกับกรณีที่เร่งด่วนร้ายแรง และเพิ่มการเข้าถึงระบบสาธารณสุขแก่กลุ่มคนที่มีความต้องการจริงๆ

"Global Self-Care Federation" หนึ่งในองค์กรสำคัญของการผลักดันเรื่องนี้ ภายใต้การสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นิยามการดูแลตนเอง ว่าประกอบด้วยมิติต่างๆ อันได้แก่ 1. การดำเนินวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ 2. การหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นภัยต่อสุขภาพ เช่น การสุบบุหรี่ หรือการดื่มสุราเกินขนาด

3. การใช้ยาอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพและรับผิดชอบ 4. การตระหนักรู้ถึงอาการของโรคต่างๆ ด้วยตนเอง หรือร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์เมื่อจำเป็น 5. การเฝ้าระวังอาการป่วยว่าดีขึ้น หรือทรุดลง

6. การบริหารจัดการอาการป่วยต่างๆ ด้วยตนเอง หรือร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์เมื่อจำเป็น

ในปี 2564 "Global Self-Care Federation" ได้มีการจัดทำ "ดัชนีความพร้อมด้านการดูแลตัวเอง" ขึ้นครั้งแรก เพื่อเป็นดัชนีที่วัดความพร้อมในการดูแลตนเองของประชาชนในแต่ละประเทศ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการออกแบบและวางรากฐานของระบบสาธารณสุขให้มีความพร้อมในการดูแลสุขภาพของประชาชนในอนาคต

งานวิจัยดังกล่าวได้ทำสำรวจผ่านการค้นหาข้อมูลด้านสุขภาพผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งสัมภาษณ์ ทำแบบสอบถามกับคนไข้ ผู้บริโภค บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานผู้วางนโยบาย และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ใน 10 ประเทศ ได้แก่ บราซิล จีน อียิปต์ ฝรั่งเศส ไนจีเรีย โปแลนด์ แอฟริกาใต้ ไทย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

ประเทศที่สำรวจได้มีการคัดเลือกให้ครอบคลุม ทั้งความแตกต่างด้านภูมิศาสตร์ และโครงสร้างของนโยบายสาธารณสุขที่หลากหลาย โดยประเมินดัชนีความพร้อมด้านการดูแลตนเอง ด้วยการให้คะแนนจาก 1 (ไม่พร้อม) ไปจนถึง 4 (มีความพร้อมมาก)

คะแนนเหล่านี้ได้ประเมินใน 4 มิติ ได้แก่ 1. Stakeholder Support & Adoption (การร่วมมือและมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพของประชาชน) 2. Consumer & Patient Empowerment (อำนาจในการตัดสินใจในการดูแลสุขภาพของประชาชน) 3. Self-Care Health Policy (นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพตนเอง) 4. Regulatory Environment (บริบทด้านการกำกับดูแล)

ไทยพร้อมหลายด้าน แต่ต้องสร้างความตระหนัก

จากผลของการสำรวจ พบว่าประเทศที่ได้คะแนนอยู่ในระดับสูง อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ส่วนในประเทศไทย พบว่าได้คะแนนเกือบ 3 จาก 4 คะแนนเต็ม ใน 3 มิติ ซึ่งถือได้ว่ามีความพร้อมค่อนข้างมาก

สำหรับมิติแรก Stakeholder Support & Adoption ได้คะแนน "2.89" สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมที่ดีระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์ คนไข้ ผู้บริโภค และหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทหน้าที่ในการวางกฎเกณฑ์และนโยบายสาธารณสุขของประเทศ

ในส่วนของมิติ Self-Care Health Policy ได้คะแนน "2.86" สะท้อนให้เห็นว่าผู้ออกนโยบายมีความเข้าใจถึงประโยชน์ของการดูแลตนเองในเชิงเศรษฐกิจ และการสนับสนุนให้ประชาชนดูแลตนเอง แต่ยังมีโอกาสในการพัฒนาเพิ่มเติมในด้านงานวิจัยที่บอกได้ถึงความคุ้มค่าในเชิงตัวเลขที่ชัดเจน (ROI) เพื่อช่วยในการวางนโยบายต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่มิติ Regulatory Environment ได้คะแนน "2.96" แสดงถึงบริบทด้านกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ดี

อย่างไรก็ตามในด้านที่ยังมีโอกาสพัฒนาเพิ่มเติม คือมิติของ Consumer & Patient Empowerment ได้คะแนน "2.19" ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและประโยชน์ของการดูแลตนเองเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนสามารถมีแนวปฏิบัติที่เหมาะสมที่จะส่งเสริมสุขภาพที่ดีเพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และหากไม่สบาย ก็สามารถประเมินเบื้องต้นและหาซื้อยาสามัญประจำบ้านเพื่อรักษาดูแลตัวเองเบื้องต้นได้

ฌอง ฟรองซัวส์ คูเว่ ผู้จัดการทั่วไป จีเอสเค คอนซูเมอร์ เฮลธ์ ตอกย้ำว่า การสนับสนุนการดูแลตนเองของประชาชน จะเป็นการสนับสนุนการใช้งบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากการที่บุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้เวลาและความเชี่ยวชาญของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบทบาทของบริษัทด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ เขาระบุว่า จะสามารถเพิ่มการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคมีความสามารถที่ดียิ่งขึ้นในการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง โดยจีเอสเคมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เพื่อสอดรับกับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังจะมีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพของข้อมูลด้านการดูแลสุขภาพ ผ่าน 3 แนวทาง ได้แก่ 1. การทำงานร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ 2. การทำงานร่วมกับเภสัชกร โดยให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และอาการต่างๆ เพื่อให้สามารถให้คำแนะนำอย่างถูกต้องแก่ผู้บริโภคได้ 3. การพัฒนาช่องทางดิจิทัลในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงและค้นหาข้อมูลในโลกดิจิทัลได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อต้องการ ทั้งในเรื่องสุขภาพช่องปาก วิตามินและอาหารเสริม

"ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ จีเอสเคจะมุ่งเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของแคลเซียมต่อการส่งเสริมสุขภาพกระดูกและมวลกระดูก การระงับอาการเจ็บปวดต่างๆ เช่น อาการเจ็บจากข้อเข่าเสื่อม และการดูแลสุขภาพช่องปาก เช่น การดูแลทำความสะอาดฟันปลอม ซึ่งสถิติระบุว่ามีการใช้งานในประชากรถึง 2.5 ล้านคน" ฌอง ระบุ